ปี 2019 ค่อยเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง เคยมีคำพูดของนักปราชญ์ชาวกรีกชื่อ อริสโตเติล พูดไว้ว่า “พวกเราคือตัวตนการการกระทำซ้ำ ๆ จากตัวเราเอง” สิ่งเล็ก ๆ ในแต่ละวันคือส่วนประกอบค่อย ๆ บ่มสร้างอนาคต และน่าใจหายที่สิ่งที่สะท้อนของความเป็นเรา สามารถสะท้อนออกมาในตัวลูกได้อีกด้วย
อยากให้ลูกมีความสุข ต้องเริ่มกระเทาะตั้งแต่ความคิดเค้าก่อน ความคิดคือตัวผลักดันชีวิต ที่จะทำให้เด็กคนหนึ่งยืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเองยามลำบาก เด็กคิดผิดมักเห็นผิดเป็นชอบ มองความลำบากเป็นเรื่องน่ากลัว ไม่อยากทำ มองความสบายข้างหน้าเป็นสิ่งพึงชม
ตัวดิฉันเอง เป็นอาจารย์ติว SAT (Standardized Aptitude Test) คะแนนมาตรฐานควรอยู่ที่ 1400 ขึ้นไป ซึ่งแต่ละปี เป็นเรื่องน่าภูมิใจที่เด็กนักเรียนทำคะแนนได้มากขึ้น หากมองให้ดี ๆ แล้ว ลักษณะของนักเรียนที่ประสบความสำเร็จ ล้วนมีลักษณะที่คล้ายกันอย่างเหลือเชื่อ ดังนี้ค่ะ
1. เด็กมาจากครอบครัวที่คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดูมาด้วยเหตุผล และฝึกฝนนิสัยของการเป็นคนขยันอย่างใกล้ชิด
เหตุผลที่เด็กพวกนี้ทราบมาตลอดคือ การใช้ชีวิต อย่างระมัดระวัง นั่นคือ สิ่งเล็ก ๆ ที่ทำแต่ละวัน ล้วนเป็นตัวสร้างอนาคต ดังนั้น เด็กเหล่านี้จะมีเป้าหมายชัดเจน เมื่อต้องการเรียนที่ดี ก็จะขยัน หมั่นเพียร บริหารเวลาอ่านหนังสือ ทบทวนบทเรียน หามรุ่งหามค่ำ เพื่อให้เข้าใจเนื้อหา และไม่ขยาดต่อความลำบากที่เข้ามาในชีวิต
หลายคนหลงทาง เช่น ลูกเรียนไม่เก่ง แทนที่จะช่วยแก้ปัญหา สู้ไปกับลูกให้ลูกเปลี่ยนนิสัยมาขยันหมั่นเพียร กลับแก้ปัญหาแต่เปลือกนอก เช่น ลูกไม่ขยัน สอบไม่ติด ถ้าใจดีหน่อย คือส่งลูกไปเมืองนอก จะได้พอมีหน้าตาในสังคมว่าเรียนเมืองนอก ผลคือ พฤติกรรมไม่ถูกแก้ไข ซ้ำร้ายต้องอยู่อย่างเดียวดาย จบเมืองนอกมา ความรู้ไม่ได้ดมาตรฐาน และนิสัยไม่ถูกบ่มแก้
ครูฮ้วงเคยถามครอบครัวที่ลูกเรียนอ่อนว่า คาดหวังชีวิตลูกจะเป็นอย่างไร ครอบครัวที่ลูกเรียนไม่เก่ง มักตอบคล้ายกันว่า "ต้องการให้เค้ามีความสุข" แต่ครอบครัวที่ลูกเรียนเก่ง พ่อแม่กลับมองโลกลึกกว่านั้น คำตอบที่ตอบมาคล้าย ๆ กันคือ "ต้องการให้เค้ารู้ว่าโลกนี้ไม่ใช่จะได้อะไรมาง่ายๆ ความสำเร็จจะได้ คุณต้องฝ่าฝันด้วยตัวคุณ"
2. เรื่องเล็ก ๆ ของลูก ไม่ก้าวก่าย แต่ไม่มองข้าม
แม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ เช่นการนอนเป็นเวลา ตื่นเป็นเวลา การนอนห้าทุ่มแล้วตื่นตี 5 มาอ่านหนังสือทุก ๆ วัน ล้วนเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้เด็กเหล่านี้ได้เข้าใจเนื้อหา และพัฒนาระบบความคิด การได้อ่านหนังสือทุกวันสามชั่วโมง ทุกวันจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลายคนได้เป้าหมายชีวิต ไม่ควรวัดความเก่งเพียงแค่เกรดเฉลี่ย เพราะเด็กที่ทุจริตการสอบก็เพราะอยากได้เกรดสูง ๆ นั่นคือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
ตั้งเป้าหมายกับลูก ศึกษาหาข้อมูล ไม่มโนเอาเอง และให้ลูกเลือกเป้าหมายที่ดีงาม ที่มีศีลธรรม จากนั้นก็ดำเนินการตามเป้าหมาย เป้าหมายของเด็กคนหนึ่งควรเป็นเรื่องการเรียน อย่าตั้งเป้าผิดจุด
ไม่ว่าจะเป็น บิล เกตส์ (ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์) งานเขียนของเขามักมีการพูดถึงเรื่องการศึกษาเสมอ หรือแม้แต่ แจ็ค หม่า (หม่า หยุน ; ผู้ก่อตั้งบริษัทอาลีบาบา) ที่ได้รับนิสัยความอุตสาหะในการทำงาน มาจากความพากเพียรในการเรียน และบุคคลที่ยิ่งใหญ่ของโลก ล้วนแต่เป็นบุคคลที่ตื่นเช้า และบริหารเวลาดีมาก
3. เด็กมาจากครอบครัวที่ให้ความสำคัญเรื่องการศึกษา
อาจารย์ Neil Halfon ของ UCLA กล่าวว่า ครอบครัวที่ตั้งเป้าหมายให้ลูกได้เรียนมหาวิทยลัย จะยอมสละเงิน เวลา และผลประโยชน์ เพื่อการศึกษาของลูก ไม่ว่าจะรายได้เท่าไรก็ตาม (จากผลสำรวจนักเรียน high school ในอเมริกาในปี 2010) หลายคนมักบอกว่า "ยุ่งนะ ต้องทำมาหากิน ไม่มีเวลามายุ่งเรื่องการเรียนของลูก" ในขณะที่ครอบครัวที่ลูกเรียนเก่งหลายครอบครัว คุณพ่อเป็นอาจารย์หมอมีชื่อเสียง เจ้าของธุรกิจยิ่งใหญ่ แต่ยอมสละเวลามานั่งคุยกับครูฮ้วงเป็นชั่วโมง ปรึกษาเรื่องการเรียนของลูก
4. ฝึกฝนให้ลูกมีทักษะในการอยู่ในสังคม
นักเรียนหลายท่านคุ้นชินกับการเรียนกับตัวเอง อยู่กับตำรา ไม่ชินในการพูด แสดงความคิด ทำให้กลายเป็นคนดูเหมือนไม่มีมารยาท ซึ่งจริง ๆ คือเด็กอายที่จะเข้าหาผู้ใหญ่ กลัวทุกอย่าง คิดว่ากลับไปอ่านเองได้ ซึ่ง Critical Thinking ต้องได้รับการฝึกจากผู้เชี่ยวชาญ โดยถามตอบในห้องเรียน ส่วนกิจกรรมที่ต้องใช้ความร่วมมือ ครอบครัวของนักเรียนเรียนเก่งมักไม่พลาด และยื่นมือเข้ามามีส่วนเสมอ
ข้อคิดการเลี้ยงลูกให้เรียนเก่งทั้งสี่ประการนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีส่วนผลักดันให้หลาย ๆ ครอบครัว ต้อนรับปี 2019 ด้วยโฉมใหม่ของการเลี้ยงลูกที่เข้าใจกว่าเดิมนะคะ
ครูฮ้วง
-----------------
ครูฮ้วง-เสาวลักษณ์ ลี้รุ่งเรืองพร เจ้าของสถาบัน Campus Genius Center ผู้สอนหลักสูตรติวเข้มเพื่อการสอบ SAT ด้วยแนวคิดแบบ Critical Thinking ที่ช่วยให้นักเรียนสามารถยื่นคะแนนเข้าเรียน และประสบความสำเร็จในการเรียนคณะอินเตอร์ทั้งในและต่างประเทศ