“ประยุทธ์” มอบ “ยธ.-สธ.-พณ.” สร้างความเข้าใจ “กัญชา” ปลัด ยธ. ย้ำ ในทางกฎหมายกัญชาเป็นสารเสพติด อนุญาตให้ศึกษาวิจัย แต่ไม่ได้เปิดให้ปลูกได้ทั่วไปตามกระแสข่าว ขณะที่ สธ. เน้นการรักษาโรค และใช้ในการวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศ ด้าน พณ. ย้ำ กรณีสิทธิบัตร 13 คำขอรับแค่เพียงหลักการแต่ยังไม่ได้ให้การคุ้มครอง
วันนี้ (18 ม.ค.) ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) น.ส.จารุวรรณ เฮงตระกูล เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า นายกฯ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำความเข้าใจกรณีการปลดล็อกสิทธิบัตรกัญชา ซึ่งมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องอยู่ 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ. ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ… ร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด และ ร่าง พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่…) พ.ศ.. ทั้งนี้ การปลดล็อกกัญชา ไม่ได้อนุญาตให้มีการเสพกัญชาโดยเสรี แต่เป็นการปลดล็อกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงต่างๆ ทั้งกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และ กระทรวงพาณิชย์ (พณ.)
ด้าน ศ.พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวง ยธ. กล่าวว่า ตามกฎหมายปัจจุบันกัญชาเป็นเสพติด ซึ่งการแก้ไขกฎหมายไม่ได้เปลี่ยนแปลง โดยกัญชายังคงเป็นยาเสพติด หลักการสำคัญ คือ จะมีการอนุญาตให้ศึกษาวิจัย ในเรื่องกัญชาได้ รวมถึงอาจมีการอนุญาตให้มีการปลูก ในลักษณะของการควบคุม ซึ่งขึ้นอยู่กับกฎหมายลำดับรองที่จะต้องออกตามมา ว่า จะเปิดโอกาสให้มีการปลูกได้อย่างไร ดังนั้น ที่มีกระแสออกมาว่า จะเปิดให้มีการปลูกได้เป็นการทั่วไปนั้นไม่เป็นความจริง ส่วนการวิจัยและการดำเนินการต่างๆ ทาง สธ. จะเป็นหน่วยงานที่ต้องเข้ามาดูแลควบคุม
นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัด สธ. กล่าวว่า ทาง สธ. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยี ในการรักษาคนไข้ ซึ่งสังเกตว่า มีความเปลี่ยนแปลงเพื่อประโยชน์ของประชาชน ในส่วนของกัญชามีสารสำคัญที่เป็นยา แตกต่างกับสารเสพติด สิ่งที่เราจะทำคงไม่ใช่การนำกัญชามาเป็นยารักษาโรคธรรมดา แต่มีการนำมาสกัด ซึ่งสารที่ได้จะไม่มียาเสพติด เป็นการนำสารสกัดที่ได้มาผลิตยาเพื่อใช้ในการลดความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากโรคต่างๆ ที่จะต้องมีงานวิจัยรองรับ โรคลมชัก หรือโรคมะเร็งระยะสุดท้าย เป็นต้น โดยสารเหล่านี้มีการใช้แล้วในต่างประเทศบางแห่ง
อย่างไรก็ตาม ทาง สธ. จะดูว่าหากอนุญาตให้นำสารสกัดกัญชามาใช้ในด้านสาธารณสุขจะใช้ในส่วนไหน ลำดับแรก คือ ในการรักษาโรค และใช้ในการวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศ ให้มีศักยภาพ และมีความสามารถในการแข่งขัน ทั้งนี้ ขอย้ำว่า การนำมาใช้จะต้องมีกฎหมายรองรับ กำหนดกลุ่มผู้ใช้ สถานที่ และต้องมีการเลือกสายพันธุ์ที่พร้อมและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
ขณะที่ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัด พณ. กล่าวว่า พณ. จะเกี่ยวข้องในเรื่องการขอจดสิทธิบัตร สิ่งประดิษฐ์โดยอาจจะเป็นยา ที่มีการนำส่วนผสมของสารสกัดที่ได้จากกัญชามาทำยารักษาโรค ทั้งนี้ จากการตรวจสอบแล้ว พบว่า มีการยื่นคำขอเพื่อจดสิทธิบัตร สิ่งประดิษฐ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากกัญชาอยู่ทั้งหมด 13 คำขอ ส่วนใหญ่เป็นคำขอจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การยื่นคำขอดังกล่าว ทาง พณ. เพียงแต่รับหลักฐานต่างๆ ไว้พิจารณา ตามหลักการ แต่ไม่ได้หมายความว่า มีการคุ้มครองสิทธิบัตรนั้นแล้ว และแม้ว่าในอนาคตจะมีการรับจดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์สารสกัดที่ได้จากกัญชา ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำผลิตภัณฑ์หรือสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับการคุ้มครองตามสิทธิบัตรนั้น สามารถทำการซื้อขายได้อย่างเสรี เพราะต้องดูกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นหากกัญชา หรือส่วนผสมของกัญชา ยังเป็นสิ่งเสพติดตามกฎหมาย แม้จะได้รับการคุ้มครองสิทธิบัตรในแง่สิ่งประดิษฐ์ ก็จะต้องดูกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย ว่าจะจำหน่ายได้หรือไม่อย่างไร
“กฎหมายกำหนดชัดเจนว่า สารสกัดจากพืชไม่สามารถรับจดสิทธิบัตรได้ ดังนั้น หากเป็นสารสกัดจากพืชมาล้วนๆ ก็ไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้ เพราะไม่เป็นไปตามกฎหมาย แม้จะรับคำขอไว้พิจารณา การรับจัดสิทธิบัตรได้ มีหลักการใหญ่ คือ ต้องเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ หรือเป็นการต่อยอดจากสิ่งประดิษฐ์เดิม และต้องสามารถประยุกต์ใช้ประโยชน์ได้ในทางอุตสาหกรรม” นายบุณยฤทธิ์ กล่าว