xs
xsm
sm
md
lg

มอบ สช.สำรวจอีกครั้งครูเอกชนอยากใช้สิทธิบัตรทองหรือไม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ประชุมบูรณาการจัดการศึกษาพื้นที่ “ธีระเกียรติ” เผย ถกร่วมสปสช. สวัสดิการพยาบาลครูเอกชน หากใช้บัตรทอง 100% ต้องใช้เงินราว 400 ล้าน ขณะที่พบมีครูเอกชน 10% เท่านั้นที่เบิกค่ารักษาเกิน มอบ สช. ถามสมัครใจอีกครั้ง เล็งเพิ่มช่องทางพิเศษครูเอกชนสอน 6 ปี ได้ตั๋วง่ายขึ้น แต่ใช่การให้อัตโนมัติ

วันนี้ (3 ม.ค.) นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เรื่อง แนวทางบูรณาการการจัดการศึกษาในระดับพื้นที่ โดยมีผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ผู้บริหารโรงเรียนสังกัด สพฐ. และผู้บริหารโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศ เข้าร่วม ว่า ที่ประชุมหารือแนวทางดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกันทั้งโรงเรียนรัฐและเอกชน อย่างเช่น การรับเด็กอนุบาล 3 ขวบ หรืออนุบาล 1 ซึ่งเคลียร์ชัดเจนแล้ว ว่า สพฐ. จะเน้นรับอนุบาล 2 และ 3 ส่วนอนุบาล 1 ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเอกชน รับก่อน หาก สพฐ. จะรับอนุบาล 1 เข้าเรียนจะต้องมีความพร้อม และต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) เพื่อให้เกิดการบูรณาการอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ยังหารือเรื่องสวัสดิการต่างๆ โดยเฉพาะสิทธิค่ารักษาพยาบาลของครูโรงเรียนเอกชน ว่า สามารถเปลี่ยนไปใช้สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือบัตรทอง ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพียงอย่างเดียวได้หรือไม่ โดยขณะนี้ครูโรงเรียนเอกชนที่ใช้สิทธิกองทุนสงเคราะห์ ได้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลปีละไม่เกิน 1 แสนบาท แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้เจ็บป่วยถึงขั้นต้องใช้ครบ 1 แสนบาท มีเพียง 10% ที่เบิกเกิน ซึ่งในส่วนนี้อยู่ระหว่างการจัดทำระเบียบทดลองยืมเงินแล้วมาเบิกภายหลัง

เพราะหากจะไปใช้สิทธิบัตรทองทั้งหมด ทาง สปสช. และ คณะกรรมการกฤษฎีกา แจ้งมาว่า ต้องปรับไปใช้สิทธิบัตรทองทุกคน หากไปใช้สิทธิบัตรทองมีข้อดี คือ ไม่จำกัดวงเงิน แต่จะลำบากตรงเรื่องสถานพยาบาล เพราะต้องเป็นไปตามภูมิลำเนา เชื่อว่า ครูส่วนใหญ่คงไม่อยากไป ทั้งนี้ ขอให้ สช. ไปสำรวจความต้องการของครูโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศอีกครั้ง ซึ่งหากเลือกที่จะใช้สิทธิบัตรทอง อาจจะต้องสนับสนุนให้ สปสช. ปีละประมาณ 400 ล้านบาท

“ผมได้ให้นโยบายว่า การจัดการศึกษาจะต้องมีการกำกับดูแล โรงเรียนเอกชนอย่างเป็นมิตร เพราะถือว่า เอกชนมีบทบาทสำคัญในการเข้ามาช่วยทำภารกิจดูแลเด็กทั่วประเทศกว่า 2 ล้านคน ถือเป็น 1 ใน 4 ของนักเรียนขั้นพื้นฐานทั่วประเทศ ไม่ใช่เอาแต่ควบคุม จนกระทั่งเขาไม่สะดวกในการทำงาน ดังนั้น ขณะนี้จึงได้มีการประแก้ระเบียบสวัสดิการต่างๆ บ้างแล้ว เพื่อให้การทำงานคล่องตัว อย่างเช่น เรื่องการขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูของโรงเรียนเอกชน โดยเฉพาะครูต่างชาติ หรือ ครูที่อาวุโส ซึ่งได้รับใบอนุญาตฯชั่วคราว ซึ่งต่ออายุมาแล้วจนครบ 6 ปี แต่กลับไม่มีใบอนุญาตฯ ทำให้โรงเรียนต้องสูญเสียครูดีๆ เพราะไม่ได้รับการต่อใบอนุญาตฯ เนื่องจากติดหลักเกณฑ์การประเมินของคุรุสภา ตรงนี้สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา อยู่ระหว่างการปรับแก้หลักเกณฑ์ แต่ไม่ใช่การให้โดยอัตโนมัติ ต้องมีการประเมิน และโรงเรียนจะต้องเป็นผู้ร้องขอเข้ามา โดยให้คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ (กมว.) ไปพิจารณาแนวทางที่เหมาะสม เชื่อว่าจะมีทางออกที่ดี” นพ.ธีระเกียรติ กล่าว

นพ.ธีระเกียรติ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกัน ยังหารือเรื่องการบรรจุครูโรงเรียนสังกัด สพฐ. ในตำแหน่งครูผู้ช่วยให้เร็ว เพื่อไม่กระทบกับโรงเรียนเอกชน และการขอปรับเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวโรงเรียนเอกชน ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่งมีแนวทางพิจารณา 2 ทางเลือก คือ เสนอปรับอุดหนุนรายหัว 100% ใช้งบประมาณ 9,500 ล้านบาท แนวทางนี้ อาจเป็นภาระงบประมาณในอนาคต ส่วนแนวทางที่ 2 ปรับเพิ่มในส่วนงบสมทบเงินเดือนครู อาจจะใช้เงินเพิ่ม ประมาณ 3,400 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังไม่ถือเป็นข้อสรุป โดยจะต้องจัดทำรายละเอียด และเสนอให้คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) พิจารณาเห็นชอบต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น