กทม.แจงฉีดน้ำช่วยลดฝุ่นละอองได้ แต่เป็นมาตรการเร่งด่วน ต้องแก้ปัญหาระยะยาวด้วย

กทม. แจงฉีดพ่นน้ำลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก เป็นมาตรการเร่งด่วนระยะสั้น เผยหลังฉีดค่าฝุ่นก็ลดลง ย้ำ ต้องทำมาตรการอื่นควบคู่ ของดเผาขยะในที่โล่ง ประสานตำรวจจัดจราจรให้คล่องตัว ตรวจเข้มรถควันดำ พร้อมหารือแผนรับมือระยะยาว เพิ่มพื้นที่สีเขียว ปรับคุณภาพเชื้อเพลิง พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ หวังลดใช้รถส่วนตัว

วันนี้ (26 ธ.ค.) นายชาตรี วัฒนเขจร รองผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงกรณี กทม.ฉีดพ่นน้ำลดฝุ่นละอองขนาดดเล็ก 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ สิ้นเปลืองงบประมาณ และอาจไม่ได้ผลมาก ว่า สถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 เกินค่ามาตรฐานในหลายพื้นที่ มีสาเหตุหลักมาจากรถยนต์ โดยเฉพาะเครื่องยนต์ดีเซลและการเผาในที่โล่ง ประกอบกับอากาศนิ่ง ลมสงบ ส่งผลให้เกิดการสะสมของมลพิษในอากาศ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน ทั้งนี้ จากการประชุมร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ และกรมอุตุนิยมวิทยา เพื่อหารือแนวทาง การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินมาตรการลดฝุ่นละอองในระยะเวลาเร่งด่วน คือ เพิ่มความถี่ในการล้างถนนและการฉีดน้ำเป็นละอองฝอยในอากาศเพื่อลดฝุ่นละออง ประชาสัมพันธ์ไม่ให้มีการเผาขยะและเผาในที่โล่งทุกชนิด และการเพิ่มพื้นที่สีเขียว ซึ่งทั้ง 2 กรม ยินดีสนับสนุนการดำเนินมาตรการของกรุงเทพมหานคร โดยกรมควบคุมมลพิษ จะมีหนังสือประสานกองบังคับการตำรวจจราจร กรมการขนส่งทางบก เพื่อขอความร่วมมือให้ดำเนินมาตรการเพื่อลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ต่อไป

“จากการให้สำนักงานเขตที่มีปัญหาฝุ่นละอองสูงล้างทำความสะอาดถนน ดูดฝุ่นถนน และฉีดละอองน้ำเป็นระยะ ซึ่งจากการประเมินผลการดำเนินงานเปรียบเทียบก่อนและหลังการฉีดน้ำ พบว่า ปริมาณฝุ่นละอองลดลง นอกจากนี้ ยังให้สำนักงานเขตรายงานผลการดำเนินมาตรการเพื่อลดปัญหาฝุ่นละอองที่แหล่งกำเนิด ทุก 15 วัน ประสานสถานีตำรวจท้องที่จัดการจราจรให้คล่องตัว ขอความร่วมมือประชาชนลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้มงวดตรวจจับรถยนต์ควันดำ กำชับเจ้าของกิจการ/ผู้รับเหมาก่อสร้างดูแลไม่ให้นำรถควันดำมาวิ่งใช้งานบนถนน ควบคุมไม่ให้มีการเผาขยะและการเผาในที่โล่งทุกประเภท รวมทั้งเพิ่มความถี่การล้างทำความสะอาดถนนให้ครอบคลุมทุกพื้นที่” นายชาตรี กล่าว

นายชาตรี กล่าวว่า สำหรับแนวทางการดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในระยะยาว คือ ปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง ให้เป็นไปตามมาตรฐาน Euro 5 เพื่อให้มีค่ากำมะถันไม่เกิน 10 ส่วนในพันล้านส่วน (ppm) (ปัจจุบัน EURO 4 ค่ากำมะถันไม่เกิน 50 ส่วนในพันล้านส่วน (ppm) ปรับปรุงคุณภาพรถยนต์ใหม่ให้เป็นไปตามมาตรฐาน Euro5 และ Euro6 (ปัจจุบันรถเล็ก Euro 4 และรถใหญ่ Euro 3) พัฒนาโครงข่ายการให้บริการขนส่งสาธารณะให้เชื่อมโยงทุกระบบ ภายในปี 2572 ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพมหานคร 510 กิโลเมตร ส่งเสริมและผลักดันให้ใช้รถโดยสารที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง (NGV) รถโดยสารไฟฟ้ารถโดยสารไฮบริด ปรับลดอายุการตรวจสภาพรถยนต์ใช้งาน การเพิ่มภาษีรถยนต์เก่า และจัดโซนนิงจำกัดจำนวนรถเข้าเมืองในช่วงเวลาเร่งด่วนเช้าและเย็น