คุณเป็นพ่อแม่ที่กำลังประสบปัญหาลูกติดมือถือกันใช่หรือไม่ ถ้าใช่ ควรถือโอกาสช่วงปิดเทอมนี้หาทางแก้ไขปัญหานี้ดีไหม !
เรื่องเด็กติดมือถือเป็นปัญหาใหญ่ของคนเป็นพ่อแม่ที่ต้องรบรากับลูกแทบทุกวี่วัน ไม่ว่าจะเป็นติดเกม ติดแชท ติดคลิป ฯลฯ ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมยิ่งหนักใจเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะพ่อแม่ต้องทำงาน ถ้าปล่อยลูกไว้ที่บ้านก็คงหนีไม่พ้นหมกมุ่นอยู่กับมือถือทั้งวันแน่เลย อย่ากระนั้นเลย ส่งลูกไปเรียนพิเศษละกัน จะได้ไม่ต้องเล่น
ถ้าคิดเยี่ยงนี้ล่ะก็ คุณกำลังสร้างปัญหาใหม่แล้วล่ะค่ะ !
เด็กยุคนี้จำนวนมากที่กำลังเป็นโรคติดโทรศัพท์มือถือ (Nomophobia) ประเภทขาดมือถือไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบเอเชียที่มีรายงานตัวเลขจากบีบีซีว่ามีการศึกษานักเรียนจำนวน 1,000 คนในเกาหลีใต้ พบกว่า 72 % ของเด็กมีสมาร์ทโฟนตั้งแต่อายุประมาณ 11-12 ปี และใช้เวลาไปกับโทรศัพท์มือถือถึงวันละประมาณ 5.4 ชั่วโมง แสดงให้เห็นว่าเด็กราว 25 % มีแนวโน้มว่ากำลังติดมือถือ และแนวโน้มตัวเลขก็จะเพิ่มมากขึ้น ถึงขนาดที่เกาหลีใต้มี “คลินิกบำบัดโรคติดโทรศัพท์มือถือ” เพราะมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่เข้าข่ายมีอาการ “เสพติด” ถึงขั้นถ้าไม่ได้ใช้มือถือจะมีอาการใจสั่น เหงื่อออกตามฝ่ามือ
หรือแม้แต่ที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศเล็กมีประชากรเพียง 6 ล้านคน แต่มียอดผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือสูงที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ทั้งยังมีคลินิกและผู้ชำนาญการบำบัดอาการเสพติดเทคโนโลยี พร้อมกับยอมรับว่า โรคติดมือถือเป็นการเสพติดประเภทหนึ่ง
ในขณะที่บ้านเรามีข้อมูลจากทางสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2560 พบว่าในประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไป มีการใช้มือถือร้อยละ 88.2 คอมพิวเตอร์ 52.9 และอินเตอร์เน็ต 30.3 โดยในกลุ่มอายุ 6-14 ปี ใช้ 60 % มากที่สุดในกลุ่มอายุ 15-24 ปี ใช้ถึง 80 % และในกลุ่ม 25-34 ปี วัยที่เป็นพ่อและแม่ ใช้ 60 %
ลองสำรวจตรวจสอบว่าคุณกำลังเข้าข่ายประสบปัญหาเรื่องนี้กับลูกหรือตัวเองหรือไม่ ถ้าตอบว่าใช่แล้วล่ะก็ ลองใช้เวลาช่วงปิดเทอมนี้ ตั้งปณิธานว่าจะเข้าสู่ช่วงเวลา “Mobile Detox” กันในครอบครัวได้แล้วค่ะ
โดยเฉพาะลูกเล็กทั้งหลาย คุณยังสามารถที่จะแก้ปัญหาได้ง่ายกว่าเมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น
เทคนิคที่จะช่วย Mobile Detox เป็นเรื่องที่ต้องเริ่มต้นจากพ่อแม่ที่ต้องวางแผน และชวนลูกมีส่วนร่วมต่อกิจกรรมด้วย
หนึ่ง - วางแผนเที่ยว
ลองเริ่มจากการชวนลูกไปเที่ยว โดยให้ลูกมีส่วนต่อการเลือกสถานที่ที่เขาชอบ แล้วอาจมอบหมายให้เขาเป็นคนวางแผนว่าจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง หรือถ้าลูกยังเล็ก ก็ให้เขามีส่วนร่วมกับกิจกรรมและสถานที่ที่จะไปทุกที่ ย้ำว่าต้องเป็นสถานที่ที่เขาชอบ เพราะถ้าพ่อแม่เลือก สุดท้ายเขาก็ไม่สนใจอยู่ดี จะปล่อยให้พ่อแม่จัดการกันเอง แล้วเขาก็จะไม่ตื่นเต้นเท่าใดนัก
สอง - ปลอดมือถือ
จากนั้นก็พยายามชักจูงกันไม่พกโทรศัพท์มือถือประเภทสมาร์ทโฟนไป หรือมีข้อตกลงว่าจะเป็นทริปที่ปลอดมือถือ อาจมีเพียงโทรศัพท์มือถือของพ่อหรือแม่ที่จำเป็นสำหรับเมื่อต้องใช้เฉพาะโทรเข้าหรือออกเท่านั้น โดยใช้วิธีจูงใจในทำนองว่า ลองไปเที่ยวแบบไม่มีมือถือกันดีกว่า ทำให้เป็นเรื่องสนุก แล้วบอกว่ามาดูกันว่าจะเป็นอย่างไร แต่ก็ต้องเตรียมกิจกรรมอื่นที่เหมาะสมกับอายุและความสนใจของลูกทดแทนด้วย เช่น เกมกระดาน หนังสือเล่มโปรด ของเล่น เครื่องดนตรี หรืออุปกรณ์เล่นกีฬา ฯลฯ ซึ่งถ้าลูกมีส่วนร่วมด้วยตั้งแต่แรก ก็จะทำให้เขาให้ความร่วมมือ
สาม - ทำกิจกรรมที่ชอบ
แม้ในช่วงแรกเด็กที่ติดมือถือมาก ๆ ก็อาจไม่ยินยอม หรืออาจรู้สึกกระวนกระวาย หงุดหงิด อารมณ์เสียบ้าง พ่อแม่ก็ควรเตรียมแผนสอง ทำกิจกรรมในสถานที่ที่เลือกไปพักผ่อน เช่น ว่ายน้ำ พายเรือ ฯลฯ ช่วงวันแรก ๆ อาจมีบรรยากาศหงุดหงิดบ้าง แต่เชื่อเถอะค่ะว่าถ้ามีกิจกรรมทำร่วมกัน มิใช่ปล่อยให้ลูกเล่นคนเดียว แต่ถ้าพ่อแม่มีส่วนร่วมต่อกิจกรรม เขาก็จะสนุกไปด้วย
สี่ - เอาตัวเข้าแลก
ข้อนี้สำคัญที่สุด พ่อแม่ต้อง “เอาตัวเข้าแลก” โดยต้องสละเวลาให้การดึงลูกออกจากมือถือ ด้วยการเป็น “แบบอย่างที่ดี” ลุกขึ้นมาชวนลูกทำกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพร่างกาย ออกกำลังกาย ฯลฯ ทำให้เขาเห็นว่าการหมกมุ่นอยู่กับมือถือตลอดเวลาเป็นการทำร้ายสุขภาพขนาดไหน และเมื่อทำกิจกรรมในแต่ละวันแล้ว ให้หาช่วงเวลาสบาย ๆ บรรยากาศผ่อนคลายพูดคุยถึงการไม่มีมือถือ หรือไม่ได้เล่นเกมแล้วเป็นอย่างไรบ้าง แต่ต้องเป็นการพูดคุยด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่เป็นมิตร
และถ้าลูกสามารถทำได้ดี ก็ควรจะชื่นชมให้กำลังใจลูกด้วย ถือเป็นช่วงเวลาทบทวนร่วมกันในครอบครัว เป็นการตรวจสอบตัวเองและสมาชิกในครอบครัวด้วยว่า เราถูกเจ้าสมาร์ทโฟน ทำให้พวกเราห่างเหินกันไปหรือเปล่า หรืออาจจะถือโอกาสชวนคุยสอดแทรกการสนทนาแบบเนียน ๆ มิใช่แบบตั้งใจสอน และชวนลูกพูดคุยว่าเหตุการณ์นั้น ๆ ส่งผลกระทบอย่างไร และนำไปสู่อะไร เพื่อให้เขาได้คิดและเห็นผลลัพธ์ด้วยตัวเอง
ห้า - สร้างกฎกติกาใหม่
เมื่อสามารถทำให้มีช่วงเวลาปลอดมือถือได้บ้างแล้ว ก็ถือโอกาสสร้างกฎกติกาใหม่ภายในครอบครัว โดยให้ลูกมีส่วนต่อการกำหนดช่วงเวลาในการใช้มือถือ และถือโอกาสสร้างวินัยในการทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพเข้าไปทดแทน
กรณีที่ลูกติดมือถือมาก คุณอาจต้องผ่อนคลายด้วยการกำหนดช่วงเวลา ค่อย ๆ ลดจำนวนของเวลาในแต่ละวันลง โดยให้ลูกเป็นผู้เลือกและร่วมกำหนดเวลาเอง แต่สิ่งสำคัญคุณต้องมีกิจกรรมอื่น ๆ มาทดแทน และถ้าจะให้ได้ผลพ่อแม่ต้องมีส่วนร่วมกับกิจกรรมที่เลือกมาทดแทนด้วย
ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม เป็นโอกาสดีในการจัดการถอดปลั๊กเครื่องมือดิจิทัลทั้งหลาย หันมาทำ Mobile Detox กันดูบ้าง เพราะแม้แต่บริษัทไอทียักษ์ใหญ่อย่าง Google ยังสนับสนุนให้พนักงานหยุดใช้เทคโนโลยีชั่วคราวระหว่างวันทำงาน ด้วยการมีสวัสดิการให้ปั่นจักรยานชมธรรมชาติหรือนวดผ่อนคลายกันด้วย เพราะรู้ว่าภัยของการติดเทคโนโลยีแบบหนึบแล้วส่งผลกระทบอย่างไร
เรื่อง Mobile Detox เป็นเสมือนการ “ล้างพิษ” คนที่เสพติดเทคโนโลยี ซึ่งปัจจุบันมีอานุภาพที่ร้ายแรงเหลือเกิน และเด็กยุคใหม่ก็ป่วยด้วยเรื่องนี้กันมากขึ้นทุกขณะ เพราะฉะนั้น เราอย่าปล่อยให้ลูกหลานของเราเสพติดเทคโนโลยีกันเลยค่ะ
โรคติดมือถืออาจจะไม่ใช่งานวิจัยใหม่ แต่ว่าก็เป็นอาการที่มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นความกังวลต่อสังคม เพราะว่าโรคติดมือถือไม่ใช่แค่ปัญหาครอบครัว แต่มันเป็นปัญหาร่วมกันของสังคม
และยังเป็นตัวชี้วัดคุณภาพของคนในอนาคตด้วย !!