xs
xsm
sm
md
lg

(คลิป) ตามรอย “หน่วยแพทย์” ฝ่าทางวิบาก ออกตรวจ “ชาวดอย” เมืองสามหมอก

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


โดย...สิรวุฒิ รวีไชยวัฒน์

เมื่อช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปสัมผัสการทำงานของการออก “หน่วยแพทย์” หรือหน่วยบริการเชิงรุกในพื้นที่ทุรกันดาร เพื่อดูแลสุขภาพคนบนดอยสูง ว่าต้องมีความทรหดอดทนต่อเส้นทางวิบากมากขนาดไหน


เดินทางขึ้นดอย ฝ่าทางพันโค้งของแม่ฮ่องสอน
สำหรับจุดเริ่มต้นในการเดินทางอยู่ที่ ต.ผาบ่อง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งต้องอาศัย “รถโฟร์วีล” ในการฝ่าเส้นทางวิบากในครั้งนี้ โดยมีจุดหมายอยู่ที่สถานบริการสาธารณสุขชุมชนน้ำบ่อสะเป่ และ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแม่ละนา สาขาไม้ลัน อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน

แม้ทางทีมสาธารณสุขอำเภอปางมะผ้า จะให้ข้อมูลว่า พื้นที่ที่ลงไปตรวจรักษาและเยี่ยมบ้านผู้ป่วยในครั้งนี้ เป็นเส้นทางที่เข้าถึงง่ายที่สุดของอำเภอปางมะผ้าแล้ว แต่ตลอดระยะเวลาในการเดินทางเกือบ 2 ชั่วโมง ระยะทางกว่า 80 กิโลเมตร ต้องยอมรับเลยว่า เป็นเส้นทางที่ “ไม่ง่าย” เลย
ไปตามถนนลูกรัง ซึ่งหากฝนตก จะยิ่งเดินทางลำบาก
สมญานาม “ทางพันโค้ง” ของเมืองสามหมอก จึงไม่ทำให้ผิดหวัง ทั้งเหวี่ยงซ้ายส่ายขวา ชวนให้คลื่นเหียนวิงเวียน ทำเอาเสียพลังกายพลังใจไปไม่น้อย แต่โชคดีที่วันเดินทาง สภาพอากาศและเส้นทางค่อนข้างเป็นใจอยู่ไม่น้อย เพราะหากเกิดฝนตก มีดินโคลนมาก การเดินทางก็จะลำบากมากกว่านี้

แต่บุคลากรทางการแพทย์ที่ประจำอยู่ในพื้นที่ และต้องออกตรวจหรือลงพื้นที่ให้บริการทุก 2 เดือนครั้ง ต้องผจญกับทุกสภาพอากาศ ถือว่ามีความลำบากกว่ากันอย่างมาก
รเชิงรุกในพื้นที่ดอย นายอรรถสิทธิ์ แสงจันทร์ สาธารณสุขอำเภอปางมะผ้า
สาเหตุที่ต้องฝ่าความลำบากไปออกหน่วยบริการเชิงรุกในพื้นที่ดอย นายอรรถสิทธิ์ แสงจันทร์ สาธารณสุขอำเภอปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน เล่าให้ฟังว่า ที่ชาวสาธารณสุขตั้งใจทำงานกันอย่างเต็มที่เช่นนี้ เพื่อต้องการให้ชาวบ้านได้รับบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน เนื่องจากเส้นทางและความทุรกันดารถือเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งของบริการทางสาธารณสุข ซึ่งการเดินทางที่ลำบากทำให้ชาวเขาเข้าไม่ถึงระบบบริการ เพราะต้องรวมตัวกันหลายคนเพื่อจ้างเหมารถลงไปโรงพยาบาล ขณะเดียวกันเนื่องจากเป็นพื้นที่ติดกับชายแดนพม่า หากไม่มีการควบคุมโรคให้ดี ก็อาจทำให้เกิดการระบาดของโรคติดต่อทางชายแดนได้ ซึ่งโรคที่มักเป็นปัญหา คือ วัณโรค และมาลาเรีย

แม้ปัจจุบันจะมีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และสถานบริการสาธารณสุขชุมชน ซึ่งเป็นหน่วยย่อยที่สุดของกระทรวงสาธารณสุข ในการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐาน แต่ยอมรับว่า ยังอยู่ห่างไกลจากคนบนเขาอยู่ดี จึงต้องมีการออกหน่วยบริการเชิงรุกเข้าไปดูแล เข้าไปสื่อสารความรู้เรื่องสุขภาพ
ให้บริการเชิงรุกแก่คนบนดอย
สำหรับการออกหน่วยบริการเชิงรุก จะเป็นการวางแผนร่วมกันระหว่างสาธารณสุขอำเภอปางมะผ้า โรงพยาบาลปางมะผ้า โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 5 แห่ง และสถานบริการสาธารณสุขชุมชนอีก 5 แห่ง เพื่อจัดสรรบุคลากรในการลงพื้นที่ โดย 1 ทีมใช้บุคลากรประมาณ 3-5 คน หมุนเวียนกันลงพื้นที่ทั้ง 38 หมู่บ้านของ อ.ปางมะผ้า ซึ่งต้องออกตรวจทุก 2 เดือนครั้งต่อ 1 หมู่บ้าน หรือเท่ากับว่าต้องมีการออกตรวจและดูแลเยี่ยมบ้านถึง 19 ครั้งต่อเดือน โดยการออกหน่วยบริการเชิงรุกนั้นจะมีการจ่ายยาทั่วไป การให้วัคซีนตามช่วงอายุ ติดตามผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหรือโรค NCDs ติดตามโภชนาการเด็กอายุ 0-5 ปี ติดตามคัดกรองความดันโลหิตตามช่วงเวลา การเยี่ยมบ้านผู้ป่วย เป็นต้น
สถานบริการสาธารณสุขชุมชนบ้านน้ำบ่อสะเป่
หากเปรียบเทียบการออกหน่วยบริการเชิงรุก จากสถานบริการสาธารณสุขชุมชนทั้ง 5 แห่งแล้ว “บ้านน้ำบ่อสะเป่” ถือว่าเข้าถึงง่ายที่สุด เพราะไม่อยู่ติดชายแดน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ เนื่องจากมีการทำเส้นทางที่ดีขึ้น ต่างจากอดีตที่ต้องใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง

ส่วน “สถานบริการสาธารณสุขชุมชนซอแบะ” จะอยู่ติดชายแดน ใช้เวลาในการเดินทางจากตัวเมืองถึง 3 ชั่วโมง และยิ่งเข้าสู่ช่วงหน้าฝนการเดินทางจะยิ่งลำบากมากยิ่งขึ้น ด้าน “สถานบริการสาธารณสุขชุมชนปุงยาม” อยู่ติดชายแดนเช่นเดียวกัน ระยะทางจากตัวเมืองถึง 80 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 หรือเกือบ 3 ชั่วโมง ขณะที่ “สุขศาลาพระราชทานบ้านแอโก๋” อยู่ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านแม่ละนา สาขาไม้ลัน อยู่ติดชายแดน ใช้เวลา 30 นาทีในการเดินทางไปยังโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแม่ข่าย
ต้องพันโซ่ที่ล้อรถ เพื่อให้ฝ่าโคลนไปได้ง่ายขึ้น
แต่หากเทียบกับพื้นที่อื่นๆ ของ จ.แม่ฮ่องสอนแล้ว ยิ่งลำบากมากกว่านี้ ซึ่งจะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 6-8 ชั่วโมง โดยเป็นการเดินเท้าเข้าไปอีก 4 ชั่วโมง ถือว่าการทำงานของสาธารณสุขใน จ.แม่ฮ่องสอน มีความลำบากอย่างแท้จริง แต่ก็ต้องดำเนินการ เพราะดีกว่าการให้ชาวเขาต้องจ้างรถมาโรงพยาบาล ยกตัวอย่างของ บ้านน้ำบ่อสะเป่ จะจ้างรถครั้งละ 1,000 บาท ก็ต้องรวมกันให้ได้ 10 คน หารกันคนละ 100 บาท หรือจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแม่ละนา สาขาไม้ลัน ต้องจ้างครั้งละ 1,500 บาท ซึ่งหากต้องทำเช่นนี้ชาวบ้านก็รับภาระไม่ไหว

ดังนั้น ข้อดีของการออกหน่วยบริการเชิงรุก นอกจากเพิ่มการเข้าถึงบริการของชาวดอยแล้ว ยังช่วยลดการเจ็บป่วย ลดโรคระบาด และช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของคนบนเขาให้ดีขึ้นด้วย ยกตัวอย่าง บ้านน้ำบ่อสะเป่ ที่มาตรวจเยี่ยมนั้น เป็นชุมชนชาวเขาเผ่าลีซู มีประชากรประมาณ 900 คน รวม 186 หลังคาเรือน มีความแตกต่างทางด้านภาษาอย่างมาก จึงต้องอาศัยล่ามในการช่วยแปล โดยมีประชากรที่เป็นคนไทยเพียง 90-100 คนเท่านั้น อีกกลุ่มจะเป็นกลุ่มรอพิสูจน์สถานะที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงมหาดไทย โดยในอดีตพบว่า จะมีปัญหาป่วยประจำคือ โรคอุจจาระร่วง แต่หลังจากออกหน่วยแพทย์ในการให้ความรู้ การปรับพฤติกรรมสุขภาพ พอผ่านไประยะเวลาหนึ่งพฤติกรรมชาวบ้านก็เริ่มเปลี่ยน โดยมีการล้างมือก่อนรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ ส่งผลให้ปัจจุบันไม่เจอปัญหาโรคอุจจาระร่วงอีก เป็นต้น
นายเกียรติศักดิ์ รักเรียน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแม่ละนา
หลังจากมาสัมผัสพื้นที่น้ำบ่อสะเป่แล้ว ทีมงานก็พาผมเดินทางต่อไปยังโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแม่ละนา สาขาไม้ลัน ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนเพียง 700 เมตร โดยนายเกียรติศักดิ์ รักเรียน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแม่ละนา ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของพื้นที่แห่งนี้ ว่า มีการดูแลประชากรชาวไทยประมาณ 976 คน แต่ต้องดูแลเพื่อนบ้านจากเขตว้าอีก 4,000 คน และไทยใหญ่อีก 20,000 คนด้วย ซึ่งด่านชายแดนจะเปิดให้ข้ามมาค้าขายทุกวันจันทร์ พุธ และอาทิตย์ จะมาวันละ 30-40 คน แต่หากเป็นผู้ป่วยสามารถข้ามฝั่งมาได้ตลอด เฉลี่ยข้ามมาวันละ 20 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะมาตรวจรักษา รับการฉีดวัคซีน รวมไปถึงฝากครรภ์ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ประมาณ 80 % จะจ่ายค่ารักษา แต่ไม่สามารถเรียกเก็บได้ทั้งหมด โดยเขาจะจ่ายเท่าที่จ่ายได้ ซึ่งสาเหตุที่ต้องรับผิดชอบคนฝั่งพม่าด้วยนั้น ก็เพื่อป้องกันโรคข้ามมาสู่ประเทศไทย และป้องกันไม่ให้มีการข้ามแดนไปรักษายังปางมะผ้า
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านแม่ละนา สาขาไม้ลัน
แม้จะเป็นเพียงวันเดียวที่ได้มาร่วมออกหน่วยบริการเชิงรุกในพื้นที่ทุรกันดาร แต่สิ่งที่สัมผัสได้จากคนทำงานในพื้นที่ คือ ความตั้งใจ ความจริงใจ และความไม่ย่อท้อในการมาดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นคนไทย ชาวเผ่า หรือแม้แต่คนในประเทศเพื่อนบ้าน ก็เพื่อสุขภาพที่ดีของคนในพื้นที่ ลดการระบาดของโรคติดต่อ เป็นการทำงานที่ควรค่าแก่การยกย่อง

และการมาผจญความลำบากในครั้งนี้ ทำให้ได้เรียนรู้อย่างหนึ่งว่า คนในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกลที่มีปัญหาเรื่องการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพ บุคลากรสาธารณสุขยังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะดูแล ส่วนคนเมืองที่ต้องเผชิญกับปัญหาผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล บุคลากรสาธารณสุขก็คงพยายามดูแลอย่างเต็มที่ที่สุดไม่ต่างกัน เพียงแต่อาจจะอดทนรอคิวกันบ้าง ก็คงไม่ได้หนักหนามากจนเกินไป



กำลังโหลดความคิดเห็น