เริ่มแล้ววันนี้ ยกระดับ “ไซบูทรามีน” เป็นวัตถุออกฤทธิ์ฯ ประเภท 1 โทษรุนแรงขึ้น นำเข้า ส่งออกผลิตภัณฑ์ผสมไซบูทรามีน คุก 5-20 ปี ปรับ 5 แสน-2 ล้านบาท ขาย คุก 4-20 ปี ปรับ 4 แสน-2 ล้านบาท
นพ.พูลลาภ ฉันทวิจิตรวงศ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา มักพบว่า มีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่โฆษณาอวดอ้างลดน้ำหนัก โดยมีการใส่ “ไซบูทรามีน” ทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงต่อผู้บริโภคบางรายถึงขั้นเสียชีวิต โดยไซบูทรามีนออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้รู้สึกไม่อยากอาหารและส่งผลข้างเคียงกับคนที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดต่างๆ ในปี 2553 ประเทศในยุโรปจึงประกาศยกเลิกไม่ให้ใช้ยานี้ รวมทั้งในประเทศไทยได้มีการเรียกเก็บยาที่มีสารไซบูทรามีนออกจากท้องตลาดและยกเลิกทะเบียนยาไซบูทรามีน อย่างไรก็ตาม ปัญหาการลักลอบใส่ไซบูทรามีนในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็ยังคงพบอยู่ ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จึงได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข กำหนดให้ไซบูทรามีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 ตาม พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2559
นพ.พูลลาภ กล่าวว่า กฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 ก.ย. 2561 เป็นต้นไป ผู้ใดผลิตนำเข้าหรือส่งออกผลิตภัณฑ์ที่มีไซบูทรามีนเป็นส่วนผสมจะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี และปรับตั้งแต่ 5 แสนบาท-2 ล้านบาท ผู้ใดขายจะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี และปรับตั้งแต่ 4 แสนบาท-2 ล้านบาท ผู้ใดครอบครองจะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาท-1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมไปถึงผู้ที่บริโภคผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ก็ถือว่าเป็นความผิดด้วย โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
“ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่สามารถลดความอ้วนได้ หากมีการโฆษณาว่าสามารถช่วยรักษาโรค ลดความอ้วนหรือมีผลในทางยา ขอให้สงสัยไว้ก่อนว่า อาจมีส่วนผสมของยา ซึ่งผู้ใช้อาจได้รับผลข้างเคียงจากยานั้น จนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต หากผู้บริโภคต้องการลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและควบคุมอาหาร รวมทั้งออกกำลังกายอย่างเหมาะสม หากผู้บริโภคต้องการใช้ยาลดความอ้วนจะต้องใช้ภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น ไม่ควรหาซื้อยามารับประทานเอง เพราะอาจส่งผลกระทบกับสุขภาพและชีวิต การใช้ยาลดความอ้วนไม่สามารถทำให้หายจากโรคอ้วนได้ เมื่อหยุดยาไประยะหนึ่งแล้วจะทำให้น้ำหนักกลับมาเพิ่มมากยิ่งขึ้น หรือที่เรียกว่า YO - YO Effect” นพ.พูลลาภ กล่าว