xs
xsm
sm
md
lg

8 วิธีใช้ “ยา” ลดผลข้างเคียงในผู้สูงอายุ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


แพทย์แนะ 8 วิธีใช้ยาใน “ผู้สูงอายุ” ช่วยลดผลข้างเคียง หวั่นผู้สูงอายุใช้ยามาก เฉลี่ยยาแพทย์สั่ง 4-5 ชนิด ซื้อเองอีกราว 2 ชนิด พบผลข้างเคียงจากการใช้ยา 1 ใน 3 มักเป็นผู้สูงอายุ

นพ.ปานเนตร ปางพุฒิพงศ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า สำนักงานสถิติแห่งชาติคาดการณ์ว่า ในปี 2573 ประเทศไทยจะมีประชากรสูงอายุประมาณ 18 ล้านคน ซึ่งผู้สูงอายุเป็นกลุ่มประชากรที่มีการใช้ยาในสัดส่วนที่สูง เมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมด โดยอาจเป็นยาที่แพทย์สั่งและยาจากแหล่งอื่นๆ เช่น ยาที่ซื้อรับประทานเอง ยาสมุนไพร ดังนั้น แพทย์ที่ดูแลผู้สูงอายุ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องรู้หลักการและปัญหาเกี่ยวกับการใช้ยาในผู้สูงอายุ ตลอดจนการสั่งยาอย่างเหมาะสม เนื่องจากผู้สูงอายุมีโรคร่วมหลายอย่าง และมีโอกาสได้รับยาหลายชนิด โดยเฉลี่ยผู้สูงอายุ 1 คน จะมียาตามแพทย์สั่ง 4-5 ชนิด และอาจมี 2 ชนิดจากการซื้อยามารับประทานเอง นอกจากนี้ ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยมีปัญหาเกี่ยวกับการจัดเตรียมยาเพื่อรับประทาน เช่น ลืมกินหรือกินซ้ำ ทำให้เป็นกลุ่มมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยา ซึ่งพบว่า ผู้ป่วยที่เกิดผลข้างเคียง 1 ใน 3 เป็นผู้สูงอายุและต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลถึงร้อยละ 10-20

นพ.ประพันธ์ พงศ์คณิตานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงของร่างกายในผู้สูงอายุมีผลต่อการใช้ยา ทำให้การดูดซึมยาลดลง การกระจายตัวของยาไม่ค่อยดี นอกจากนี้ อาจพบปริมาณยาที่ค้างในร่างกาย และพบว่า การกำจัดยาทางไตทำได้ลดลง ผู้สูงอายุยังมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอีก หลายอย่างที่ส่งผลต่อการใช้ยา เช่น มีความไวต่อยาบางชนิดเพิ่มขึ้น ในขณะที่มีความไวต่อยาบางชนิดลดลง สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหากับการสั่งยาในผู้สูงอายุอย่างมาก ทั้งนี้ ผู้สูงอายุสามารถป้องกันการเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยา ด้วยการปฏิบัติดังนี้ 1. เมื่อพบแพทย์ ควรมีรายละเอียดของชื่อยาที่รับประทาน ชื่อโรค และประวัติการแพ้ยาติดตัวไปด้วย 2. เริ่มต้นการรักษาแบบไม่ใช้ยา เช่น ท้องผูกควร ดื่มน้ำมากๆ และรับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูง

3. รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอและติดตามการรักษากับแพทย์เป็นระยะ อย่านำตัวอย่างยาเดิมไปซื้อมารับประทานเอง 4. นำยาทั้งหมดไม่ว่าจะได้รับจากที่ใดไปให้แพทย์ตรวจเช็กเป็นระยะ 5. หลีกเลี่ยงการซื้อยาสมุนไพร ยาหม้อ และยาลูกกลอนมารับประทานเอง เนื่องจากอาจมีผลเสียต่อร่างกาย 6. ควรตรวจดูวันหมดอายุ ของยา และอย่าเก็บยาที่เหลือไว้รับประทานครั้งต่อไป เนื่องจากยาอาจหมดอายุหรืออาจไม่ใช้ยาตัวเดิม 7. ควรปรึกษาแพทย์ถึงสาเหตุที่จะหยุดยา เช่น เกิดผลข้างเคียง ยาไม่ได้ผล วิธีการใช้ยาซับซ้อนเกินไป ยาแพงเกินไป 8. รับการรักษาและติดตามกับแพทย์คนเดิม หากต้องรักษากับแพทย์มากกว่า 1 คน ต้องนำประวัติเก่าและรายการยาที่ใช้อยู่มาแจ้งให้แพทย์ทราบ แพทย์ที่รักษาผู้สูงอายุต้องตรวจสอบยาทั้งหมดที่ผู้สูงอายุได้รับทุกแหล่ง และพิจารณายาที่อาจมีปฏิกิริยาต่อกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น