สมาคมแพทย์โรคจมูก แจง “ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก” ดูดซึมเข้ากระแสเลือดน้อย มีผลวิจัยชัด 12 เรื่อง ไม่มีผลต่อความดันลูกตาต่อเนื่อง 2 ปี แต่ต้องระวังในผู้ป่วยต้อหิน เบาหวาน สายตาสั้น ใช้อยู่ในความดูแลของแพทย์
จากกรณีข่าวการใช้ยาสเตียรอยด์ ทั้งการกิน พ่นจมูก หยอดตา หรือ ฉีดยา สามารถทำให้เกิดความดันลูกตาสูงได้ โดยพบว่าประมาณ 18-36% ของคนทั่วไป จะพบความดันลูกตาสูงจากการใช้ยาสเตียรอยด์และความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเป็น 46-92% ในคนไข้ต้อหิน
รศ.นพ.วิรัช เกียรติศรีสกุล ประธานฝ่ายเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการและประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์โรคจมูก (ไทย) กล่าวถึงเรื่องนี้ ว่า ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก เป็นยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะที่ที่เยื่อบุจมูกและไซนัส มีประสิทธิภาพสูงในการลดการอักเสบและลดอาการทางจมูก ได้แก่ อาการคัดจมูก คัน จาม น้ำมูก และเสมหะลงคอ มีหลักฐานทางคลินิกถึงประสิทธิภาพการรักษาโรคที่มีภาวะอักเสบของเยื่อบุโพรงจมูกและไซนัสต่างๆ ได้แก่ โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง สามารถลดขนาดและควบคุมอาการริดสีดวงจมูก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีการใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกในโรคต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นโรคที่อักเสบเรื้อรังและต้องใช้ระยะเวลานานในการรักษา จึงต้องคำนึงถึงความปลอดภัยจากผลข้างเคียงของยาด้วย แต่การที่ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกจะทำให้เกิดผลข้างเคียง โดยเฉพาะผลต่อทั่วร่างกายได้นั้น จะต้องมีการดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดในปริมาณที่สูงมากพอ แต่ปัจจุบันยาสเตียรอยด์พ่นจมูกที่จำหน่ายในประเทศไทยที่มี 7 ชนิด เป็นยาที่ดูดซึมเข้ากระแสเลือดน้อย โดยเฉพาะยาสเตียรอยด์พ่นจมูกรุ่นใหม่ มีฤทธิ์เฉพาะที่ที่เยื่อบุจมูกสูงและดูดซึมเข้ากระแสเลือดน้อยกว่าร้อยละ 1
รศ.นพ.วิรัช กล่าวว่า ส่วนผลข้างเคียงของยาสเตียรอยด์พ่นจมูกต่อความดันลูกตา มีสมมติฐานว่า อาจเกิดจากการดูดซึมของยาเข้าตาผ่านทางเยื่อบุจมูกหรือกระแสเลือด หรือการไหลย้อนของยาขึ้นไปตามท่อระบายน้ำตาที่มีรูเปิดในช่องจมูก แต่มีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากยาสเตียรอยด์พ่นจมูกออกฤทธิ์เฉพาะที่ ดูดซึมเข้ากระแสเลือดน้อย และระบบทางระบายท่อน้ำตาเป็นลิ้นปิดเปิดลงจมูกทางเดียว ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกมีความแตกต่างจากยาสเตียรอยด์หยอดตา แบบรับประทาน และสูดเข้าหลอดลม ดังนั้น ไม่ควรใช้ข้อมูลของยาสเตียรอยด์อื่นมาพิจารณาความปลอดภัยของยาสเตียรอยด์พ่นจมูก
“ในแง่หลักฐานเชิงประจักษ์ทางคลินิกของความสัมพันธ์ระหว่างยาสเตียรอยด์พ่นจมูก และการเปลี่ยนแปลงความดันลูกตานั้น มีรายงานผู้ป่วยพบว่า การให้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกในผู้ป่วยต้อหิน ทำให้ความดันลูกตาสูงขึ้นระหว่างใช้ยา แต่ความดันลูกตากลับสู่ระดับเดิมได้หลังจากหยุดยา ซึ่งเป็นข้อมูลวิชาการที่ไม่มีกลุ่มเปรียบเทียบ ปัจจุบันมีงานวิจัยศึกษายาสเตียรอยด์พ่นจมูกที่มีกลุ่มเปรียบเทียบและมีระดับความน่าเชื่อถือสูงทั้งสิ้น 12 เรื่อง ซึ่งไม่พบความแตกต่างด้านความดันลูกตาระหว่างกลุ่มที่ใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกกับกลุ่มเปรียบเทียบ และสามารถให้ยาต่อเนื่องนาน 2 ปี โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงความดันลูกตา” รศ.นพ.วิรัช กล่าว
รศ.นพ.วิรัช กล่าวว่า จากข้อมูลดังกล่าวแสดงว่า สามารถใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกในการรักษาภาวะอักเสบของเยื่อบุโพรงจมูกและไซนัสในผู้ป่วยทั่วไปได้อย่างปลอดภัย โดยไม่มีผลต่อความดันลูกตา อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยหลายประการที่มีผลให้ผู้ป่วยอาจมีความเสี่ยงที่จะมีความดันลูกตาสูงขึ้น ซึ่งหากหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและระมัดระวังการใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงก็จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัย ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ ได้แก่ ระยะเวลาของการใช้ยาสเตียรอยด์อย่างต่อเนื่องมากกว่า 2 ปี การใช้ยาสเตียรอยด์ร่วมกันหลายช่องทางพร้อมกัน เช่น ใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกพร้อมกับยาสเตียรอยด์ชนิดสูดเข้าหลอดลม ผู้ป่วยมีโรคต้อหิน โรคเบาหวาน โรคสายตาสั้น และ โรคที่มีความผิดปกติของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และ ควรใช้ยาสเตียรอยด์พ่นจมูกภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น