ตรวจความเรียบร้อยโรงฆ่าสัตว์ กทม. ปิดตำนาน 13 ปี เผยส่วนชำแหละวัว-ควาย เตรียมเปิดระบบได้ ก.ย.นี้ กำลังผลิต 100 ตัว ส่วนโรงฆ่าหมู เร่งให้เอกชนทำสัญญาเช่า ผลิตสูงสุด 2,000 ตัว เดินหน้าผลิตเนื้อแดงสะอาด ปลอดภัย ปลอดสาร
วันนี้ (16 ส.ค.) นายทวีศักดิ์ เลิศประพันธ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจโรงชำแหละและแปรรูปเนื้อสัตว์กรุงเทพมหานคร บริเวณพุทธมณฑลสาย 3 เขตหนองแขม หลังให้ภาคเอกชนเช่าบริหาร ว่า โรงชำแหละมีพื้นที่ 50 ไร่ ดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ปี 2547 โดยในปี 2551 ได้มีการดำเนินคดีฟ้องร้องผู้รับเหมาก่อสร้าง จึงถูกทิ้งร้างมา 13 ปี พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. จึงได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางการบริหารจัดการโรงฆ่าสัตว์ ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าต่องบประมาณที่เสียไป และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนให้มากที่สุด
“กทม.ต้องการให้ประชาชนในกรุงเทพฯ บริโภคเนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพ มีสุขภาวะอนามัยที่ดี จึงได้ให้ภาคเอกชนเช่าบริหารโรงชำแหละ ซึ่งเป็นโรงฆ่าโค กระบือ และ สุกร เป็นระยะเวลาการเช่า 15 ปี โดยโรงฆ่าสัตว์ดังกล่าวจะช่วยพัฒนายกระดับมาตรฐานการผลิตเนื้อสัตว์ให้สะอาด ปลอดภัย และปลอดสารตกค้างในเนื้อสัตว์” นายทวีศักดิ์ กล่าว
นายทวีศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัท อินชา 786 จำกัด เป็นผู้ชนะการประกวดราคาในการบริหารจัดการโรงฆ่าโค-กระบือ ลงนามสัญญาเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.61 โดยมีค่าเช่ารายเดือนๆ ละ 532,000 บาท ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงสถานที่และทดสอบระบบเครื่องจักรอุปกรณ์ เพื่อขอรับใบอนุญาตจัดตั้งโรงฆ่าสัตว์ คาดว่า จะทดสอบเดินระบบทั้งหมดได้ภายในเดือน ก.ย.61 โดยมีอัตราการผลิตเนื้อโค-กระบือสูงสุด 100 ตัวต่อวัน
สำหรับโรงฆ่าสุกร กทม. บริษัท กรุงเทพครัวโลก จำกัด เป็นผู้ชนะการประกวดราคา มีค่าเช่าเดือนละ 712,200 บาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการทำสัญญาเช่า กับสำนักอนามัย กทม. หลังจากนั้น จะดำเนินการปรับปรุงสถานที่และระบบเครื่องจักรต่อไป สำหรับการบริหารจัดการโรงฆ่าสุกร มีอัตราการผลิตเนื้อสุกรสูงสุดวันละ 2,000 ตัว ทั้งนี้ โรงชำแหละและแปรรูปเนื้อสัตว์กรุงเทพมหานคร ทั้ง 2 โรง จะเป็นแหล่งผลิตเนื้อสัตว์ที่สะอาด ปลอดภัย และปลอดสารตกค้างสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของเนื้อสัตว์ได้ และเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้กระบวนการผลิตเนื้อสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์ที่ทันสมัยให้กับนักศึกษาและผู้ที่สนใจ ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตหนองแขม เพื่อให้ประชาชนในกรุงเทพฯ ได้บริโภคเนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพ และมีสุขภาวะอนามัยที่ดีขึ้น
