ความรักเป็นนามธรรมที่สามารถแสดงออกได้เป็นรูปธรรม อีกทั้งความรักเป็นสิ่งที่คนทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยใดก็แล้วแต่ล้วนต้องการความรักมาเติมเต็มจิตใจอยู่เสมอ เพราะความรักเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความสุข ความปิติ ความอบอุ่นใจ โดยเฉพาะความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกนั้นเป็นความรักที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้ง มีคุณค่าและมีความหมายเพราะเป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้ลูกเติบโตขึ้นเป็นคนที่มีคุณภาพในสังคม เป็นคนที่มีจิตใจเต็มล้นไปด้วยความเมตตากรุณาและความดีงาม ความรักเปรียบเสมือนภูมิคุ้มกันจิตใจให้กับลูกอีกทั้งช่วยส่งเสริมพัฒนาการการเรียนรู้ที่ดีของลูกอีกด้วย
- งานวิจัยของประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นงานวิจัยที่เก็บข้อมูลนานกว่า 15 ปีพบว่าความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่และลูกนั้นเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของลูกกับคนรักในอีก15ปีต่อมาด้วย ซึ่งพบว่าลูกที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อแม่ในวัยเด็กนั้น ก็จะมีคุณภาพของความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรักในอนาคตต่อมาด้วย ซึ่งการวิจัยนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ Journal of Marriage and Family
- Dr. Kirstie Whitaker นักวิจัยแผนกจิตเวชศาสตร์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ กล่าวว่าการแสดงออกถึงความรักของพ่อแม่จะช่วยพัฒนาสมองและการเรียนรู้ที่ดีของลูก
- ทีมวิจัยจากโรงพยาบาลเด็กเซ็นต์หลุยส์ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำการวิจัยโดยใช้วิธีการติดตามเด็กจำนวน 127 คนโดยเริ่มตั้งแต่วัยเด็กเล็กก่อนเข้าโรงเรียนจนกระทั่งถึงวัยรุ่นตอนต้นพบว่า การแสดงความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกที่อายุต่ำกว่า6ขวบจะส่งผลให้สมองของเด็กได้รับการพัฒนาให้โตกว่าเด็กที่ไม่ได้รับความรักมากถึงสองเท่า
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการแสดงออกถึงความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญและมีผลต่อพัฒนาการของลูกเป็นอย่างมาก ซึ่งวิธีการที่แสดงออกให้ลูกได้รู้ว่าพ่อแม่รักเขาจริงนั้นสามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้
1. การสัมผัส เด็กๆทุกคนชอบและมีความสุขมากเมื่อคุณพ่อคุณแม่ กอด หอม อุ้ม ลูบหัว จับมือ สัมผัสร่างกายของเขา เพราะนั่นเป็นการแสดงออกที่บอกให้รู้ว่าลูกเป็นที่รักและเป็นคนที่มีความหมายเป็นอย่างยิ่งของพ่อแม่ ดังนั้นพ่อแม่ควรสัมผัสลูกด้วยความรักบ่อยครั้ง เพราะนั่นเป็นการแสดงออกให้รู้ว่าพ่อแม่ใส่ใจและแสดงให้รู้ถึงการมีตัวตนของลูก การสัมผัสรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกนั้นจะส่งผลให้ลูกเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีสุขภาพจิตที่ดี มีสมองที่ดีสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็วและมีความจำที่ดี ซึ่งในทางตรงกันข้าม หากเด็กได้รับการเลี้ยงดูโดยขาดความรักไม่มีใครแสดงความรักโดยการสัมผัส โอบกอด อีกทั้งถูกทอดทิ้งให้เด็กรู้สึกว้าเหว่อยู่เสมอ เช่น ถูกปล่อยให้หิว ถูกปล่อยให้ร้องไห้อยู่คนเดียวนานๆ ก็จะส่งผลทำให้พัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กคนนั้นล่าช้ากว่าเด็กที่ได้รับการสัมผัสด้วยความรักอย่างอบอุ่นอยู่เสมอ
2. อย่าใช้คำว่าไม่รักมาต่อรองกับลูก มีพ่อแม่บางคนที่มักจะชอบเอาคำว่ารักมาต่อรองขู่ลูก เช่น "ถ้าลูกทำการบ้านไม่เสร็จแม่จะไม่รักลูกนะ" "ถ้าลูกกินข้าวไม่หมดพ่อจะไม่รักนะ" ซึ่งการที่พ่อแม่ขู่ลูกด้วยประโยคเช่นนี้บ่อยๆจะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกลังเลมีความกังวลว่าพ่อแม่รักเขาจริงหรือเปล่า หรือถ้าเขาทำในสิ่งที่ผิดพลาดไปพ่อแม่อาจจะไม่รักเขาก็ได้ ดังนั้นพ่อแม่ต้องแสดงให้ลูกเห็นอย่างชัดเจนว่าพ่อแม่รักเขาไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร เขาจะทำผิดพลาดอะไรพ่อแม่ก็ยังรักเขาเสมอ แม้ว่าพ่อแม่อาจจะมีการลงโทษดุว่าเมื่อเวลาที่เขาทำผิดบ้าง แต่ก็ไม่เกี่ยวกับว่าพ่อแม่จะรักหรือไม่รักเขาน้อยลง ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องระมัดระวังที่จะไม่นำคำว่า"ไม่รัก"มาพูดขู่กับลูก เพราะจะทำให้เด็กไม่มั่นใจในความรักที่พ่อแม่มีให้ ซึ่งจะส่งผลให้เด็กเติบโตขึ้นกลายเป็นคนที่หวาดระแวงไม่เชื่อมั่นในความรักและไม่เชื่อมั่นในตนเอง
3. ให้เวลากับลูก การที่คุณพ่อคุณแม่และลูกได้ใช้เวลาด้วยกันเสมอในการทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน เป็นการสร้างความรักและความอบอุ่นให้กับลูกได้ดีอีกวิธีหนึ่ง เช่น ออกไปเที่ยวด้วยกัน ช่วยกันทำงานบ้าน ช่วยกันทำอาหาร เลี้ยงสัตว์ ปลูกต้นไม้ การชวนลูกพูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวันของลูก เช่น เรื่องโรงเรียน เรื่องครู เรื่องเพื่อน เรื่องต่างๆที่ลูกสนใจ ซึ่งการทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัวนั้นเป็นเวลาคุณภาพที่ช่วยสร้างประสบประการณ์ที่ดีให้กับลูก อีกทั้งเป็นการส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ในด้านต่างๆให้กับลูกอีกด้วย
จะเห็นได้ว่า การที่คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดูลูกด้วยความรักและการเอาใจใส่ตั้งแต่เขายังเล็กด้วยการสัมผัสรัก การให้เวลาคุณภาพ อีกทั้งระมัดระวังที่จะไม่นำคำว่าไม่รักมาต่อรองกับลูก ซึ่งทั้ง3ประการที่กล่าวถึงนี้จะส่งผลให้ลูกเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพจิตดี มีพัฒนาการทางด้านสติปัญญาที่ดี มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
เพราะ "บอกรักเป็นร้อยครั้ง...ไม่เท่ากับการแสดงออกให้มั่นใจว่ารักจริง"