xs
xsm
sm
md
lg

จาก “อาหารเสริม” ถึง “เครื่องดื่ม” โฆษณาสุดมอมเมา เราจะเอาตัวรอดได้ยังไง!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย...สิรวุฒิ รวีไชยวัฒน์

จากข่าวการทลายเครื่องสำอางและอาหารเสริมเครือข่าย “เมจิกสกิน” นำมาสู่การตรวจผลิตภัณฑ์สุขภาพจำนวนมาก โดยเฉพาะประเด็นการโฆษณา ซึ่งในส่วนของ “อาหารเสริม” มี พ.ร.บ. อาหาร พ.ศ. 2522 กำหนดชัดเจนว่า จะต้องขออนุญาตโฆษณาต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อน จึงจะโฆษณาได้ และการโฆษณาต้องไม่โอ้อวดเกินจริงหรือหลอกลวง

แต่สถานการณ์จริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเหล่านี้แม้จะขอขึ้นทะเบียน อย.ถูกต้อง แต่ตอนโฆษณากลับไม่ได้มีการขออนุญาต และโฆษณาโอ้อวดเกินจริง ยกตัวอย่าง กรณีผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “บีเคิร์ฟ” ของดาราสาวอย่าง เบลล่า ราณี แคมเปน และมะปราง วิรากานต์ เสณีตันติกุล ที่ยื่นจดทะเบียนถูกต้อง แต่กลับมีการโฆษณาโอ้อวดเกินจริงและไม่ได้ขออนุญาต ซึ่งทางมะปรางก็ออกมาบอกว่าเป็นเพราะการโฆษณาเองของตัวแทนจำหน่าย
อาหารเสริมผิดกฎหมายของ อย.
นอกจากการโฆษณา “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร” ที่ต้องใช้ “กึ๋น” อย่างหนักในการพิจารณาว่าสินค้านั้นดีจริงหรือไม่ โฆษณาเวอร์เกินไปหรือไม่ ก็ยังมีโฆษณาในกลุ่ม “อาหาร” โดยเฉพาะ “เครื่องดื่ม” อีกหลายตัว ที่ทำการตลาดมอมเมาจนเราแทบตกเป็นทาสไปแล้ว
ชาเขียว น้ำอัดลม โหมการตลาดชิงโชค ให้ซื้อดื่มมากขึ้น เพื่อลุ้นรับของรางวัล หรือไปเที่ยวกับศิลปิน
สินค้าที่ว่าคือกลุ่มของ “น้ำอัดลม” และ “ชาเขียว” ที่หลายปีมานี้ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบชิงโชค ซื้อมากยิ่งมีสิทธิมาก โดยมีการดึงเอาศิลปินดาราขวัญใจประชาชนมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมโปรโมตการชิงโชค เช่น ได้ไปเที่ยวร่วมกับศิลปินถึงต่างประเทศ การแจกรถยนต์ ทองคำ โทรศัพท์มือ เงินรางวัลต่างๆ จนเหล่าแฟนคลับหรือคนชื่นชอบการวัดดวงต้องรีบไขว่คว้าโอกาสนั้นไว้ ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่น่าห่วงอย่างมาก

ทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ผู้อำนวยการสำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย และผู้จัดการโครงการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สะท้อนความเห็นว่า น้ำอัดลมและชาเขียวพวกนี้มีน้ำตาลปริมาณมากอยู่แล้ว ดังน้น ยิ่งโหมทำการตลาดชิงโชค ก็ยิ่งเป้นการกระตุ้นส่งเสริมให้คนหันมาซื้อบริโภคเพิ่มมากขึ้น
ทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม
“น้ำชาเขียวรสชาติดั้งเดิม 1 ขวด ขนาด 500 มิลลิลิตร ก็มีน้ำตาลอยู่ถึง 20-26% แล้ว หากคำนวณว่าเป็นน้ำตาลปริมาณเท่าไร ก็จะอยู่ที่ประมาณ 100 กรัมหรือประมาณ 20 ช้อนชา ซึ่งดื่มแค่ขวดเดียวก็ได้น้ำตาลเกินกว่าที่ร่างกายต้องการรับในแต่ละวันแล้ว ซึ่งตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก เราควรได้รับน้ำตาลอยู่ที่ 6 ช้อนชาต่อวันเท่านั้น เรียกว่าเกินไป 3 เท่ากว่าเลยทีเดียว และยิ่งกระตุ้นให้มีการดื่มมากยิ่งขึ้นก็ยิ่งได้รับน้ำตาลมากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก เพราะตามธรรมชาติของมนุษย์ คงไม่มีใครที่ซื้อมาแล้วจะเททิ้งแน่นอน ก็ต้องดื่มเข้าไป ก็ยิ่งได้รับน้ำตาลเกินพิกัด” ทพญ.ปิยะดา กล่าว

สถานการณ์การบริโภคน้ำตาลของคนไทยถือว่าน่าเป็นห่วงอย่างมาก ทพญ.ปิยะดา บอกว่า ขณะนี้คนไทยบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยที่ประมาณ 26 ช้อนชาต่อวันเกินกว่าที่แนะนำไปถึง 4 เท่า และพบว่า 2 ใน 3 ของการได้รับน้ำตาลนั้นมาจากเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลม ชาเขียว กาแฟชง น้ำหวานต่างๆ ที่เราชอบบริโภค เนื่องจากคนไทยติดหวาน ไม่ใช่แค่ติดความเย็นจากเครื่องดื่มเพื่อมาดับกระหายเท่านั้น ที่ผ่านมามีความพยายามในการให้คนไทยลดการบริโภคน้ำตาลลง จนถึงขั้นมีมาตรการทางกฎหมายอย่าง “ภาษีความหวาน” หรือ ภาษีน้ำตาล ตาม พ.ร.บ. สรรพสามิต พ.ศ. 2560 ซึ่งแม้จะทำให้ผู้ประกอบการหันมาผลิตเครื่องดื่มสูตรน้ำตาลน้อยลง หรือสูตรไม่มีน้ำตาล แต่การโหมโฆษณา โดยเฉพาะโฆษณาชิงโชคที่กระตุ้นการซื้อบริโภค ก็ทำให้เกิดการบริโภคเกินกว่าที่ควรได้รับอยู่ดี ก็เท่ากับได้น้ำตาลเกินกว่าที่ต้องการ

เครื่องดื่มที่เหมาะสมเสนอว่า ควรมีน้ำตาลน้อยกว่า 6% ในปริมาณเครื่องดื่ม 200-250 มิลลิลิตร ก็จะได้น้ำตาลไม่เกิน 3 ช้อนชา นับเป็น 1 หน่วยบริโภค ดังนั้น ใน 1 วันก็รับได้ไม่เกิน 2 หน่วยบริโภค แต่ต้องอย่าลืมว่าในชีวิตประจำวันเราได้รับน้ำตาลจากการบริโภคอาหารอย่างอื่นอีก การโหมโฆษณาชิงโชคชวนซื้อบริโภคจึงยิ่งน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในสูตรน้ำตาลน้อย เพราะคนจะรู้สึกว่ามีน้ำตาลน้อย กินมากขึ้นหน่อยก็ไม่เป้นไร ดีต่อสุขภาพ ก็ยิ่งกินเข้าไปมาก น้ำตาลก็เกินในที่สุด ซึ่งมองว่าควรมีการควบคุมการชิงโชคตรงนี้” ทพญ.ปิยะดา กล่าว

หากเอ่ยถึงการควบคุมการชิงโชคของเครื่องดื่มต้องย้อนไปตั้งแต่สมัยปี 2546 ที่ อย.เคยเปิดศึกกับเครื่องดื่มชูกำลัง ในการควบคุมการชิงโชค แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถควบคุมได้ เนื่องจาก อย.ไม่มีฐานอำนาจในการควบคุม เพราะการขออนุญาตการชิงโชคนั้นเป็นอำนาจตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 ของกระทรวงมหาดไทย อย.มีเพียงประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง หลักเกณฑ์การโฆษณาเครื่องดื่มที่ผสมกาเฟอีน พ.ศ. 2555 ที่ควบคุมการโฆษณาเครื่องดื่มกาเฟอีน ไม่ให้มีการโฆษณาชักจูงโน้มน้าวเท่านั้น และมีการตีความทางกฎหมายกันว่า การชิงโชคไม่น่าจะเข้าข่ายการโฆษณาชักจูงโน้มน้าวตามประกาศ อย. และไม่มีฐานอำนาจจัดการเช่นกัน ดังนั้น การควบคุมการชิงโชคของน้ำอัดลมและชาเขียวโดย อย.จึงไม่มีทางเป็นไปได้

นพ.พูลลาภ ฉันทวิจิตรวงศ์ รองเลขาธิการ อย. ระบุว่า อย.ไม่มีกฎหมายในการควบคุมตรงนี้ หากจะควบคุมการชิงโชคของน้ำอัดลมหรือชาเขียว มองว่าน่าจะเป็นอำนาจของกระทรวงมหาดไทยตาม พ.ร.บ. การพนัน พ.ศ. 2478 และ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มากกว่า
นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย
ส่วนสถานการณ์การโฆษณาชิงโชคเพื่อชวนให้ซื้อบริโภคน้ำอัดลมและชาเขียว โดยมีศิลปินและรางวัลต่างๆ มาล่อใจ เป็นสถานการณ์ที่วิกฤตต่อสุขภาพคนไทยแล้วหรือยังนั้น นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย ระบุว่า พร้อมที่จะทำข้อมูลเชิงวิชการว่าส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนไทยมากน้อยเพียงใด หากมีผลกระทบอย่างมากก็อาจเสนอให้มีการควบคุมการชิงโชคหรือการโฆษณา แบบที่เคยมีข้อเสนอในเรื่องของการคุมภาษีน้ำตาลจนออกเป็นกฎหมายมาแล้วเมื่อปี 2560
นพ.พูลลาภ ฉันทวิจิตรวงศ์ รองเลขาธิการ อย.
สำหรับ อย.เองนั้น นพ.พูลลาภ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ก็คงต้องพิจารณาข้อมูลสถานการณ์และความจำเป็นก่อนว่าส่งผลกระทบมากเพียงพอที่จะควบคุมหรือไม่ ซึ่งต้องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการอาหาร เพื่อออกเป็นกฎหมายควบคุม ซึ่งอย่างที่บอกว่าปัจจุบันมีเพียงการควบคุมการโฆษณาเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาเฟอีนเท่านั้น เนื่องจากมีเครื่องดื่มผสมกาเฟอีนออกมามากขึ้น มีการผสมกาเฟอีนที่มากไปกว่าปกติ และโฆษณาเพื่อกระตุ้นให้เกิดการดื่ม จึงมีการควบคุมให้เครื่องดื่มที่ผสมกาเฟอีนซึ่งจำหน่ายมีส่วนผสมปริมาณไม่เกิน 50 มิลลิกรัมต่อหน่วยบรรจุ และคุมเรื่องของการโฆษณา ดื่มได้ไม่เกินวันละเท่าไร ต้องมีการออกคำเตือนให้ชัดเจน เพราะส่งผลกระทบต่อสุขภาพชัดเจน แต่ชาเขียว น้ำอัดลม มีกาเฟอีนโดยธรรมชาติ ไม่ได้เป็นการเติมเข้าไป จึงไม่เข้าข่ายตามประกาศควบคุมนี้ ต้องมาพิจารณาแยกต่างหาก

อาจกล่าวได้ว่า คนไทยขณะนี้อยู่ในยุคที่ห้อมล้อมไปด้วยโฆษณาทั้งเกินจริง หลอกลวง และมอมเมา ไม่เพียงแค่สื่อกระแสหลักอย่างวิทยุ โทรทัศน์เท่านั้น ยังรวมไปถึงสื่ออินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียต่างๆ ซึ่ง พญ.ลัดดา ดำริการเลิศ เลขาธิการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) สะท้อนว่า ผู้สุงอายุจำนวนมากตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาทางโซเชียลมีเดีย เพราะรู้ไม่เท่าทัน ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกหลอกลวงจากโฆษณาสินค้าทางสุขภาพมากที่สุด หลอกลวงให้ซื้อสินค้าต่างๆ โดยอ้างว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ สุดท้ายก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพและเสียเงินเสียทอง และที่เห็นมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ การส่งข้อมูลข่าวสารโดยที่ยังไม่ได้พิจารณาให้ถี่ถ้วนว่าเป็นจริงหรือไม่อย่างไร
พญ.ลัดดา ดำริการเลิศ เลขาธิการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.)
พญ.ลัดดา กล่าวอีกว่า จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่ผู้สูงอายุ แต่เป็นคนทุกเพศทุกวัยที่สามารถตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาเหล่านี้ได้ ซึ่งอยากขอให้ทุกคนมีสติ และใช้วิจารณญาณในการพิจารณาว่าข้อมูลที่ได้รับมาเป็นจริงหรือไม่ หรือโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพต่างๆ เหล่านี้จริงหรือไม่ที่สามารถช่วยโรคนั้นนี้ได้ ต้องสงสัยไว้ก่อน และไปหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าจริงหรือไม่ หรือแม้แต่เห็นโฆษณาชักจูงใจ ก็ต้องพิจารณาให้ดีว่า สิ่งนั้นเป็นประโยชน์ต่อเราจริงหรือไม่ จำเป็นกับเราจริงหรือไม่

นพ.วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ เลขาธิการ อย. เคยแนะนำไว้ว่า ก่อนจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพ ต้องพิจารณาให้ดีก่อนว่าสินค้าเหล่านี้ขึ้นทะเบียนถูกต้องหรือไม่ และแม้จะขึ้นทะเบียนถูกต้อง แต่ก็มีบางส่วนที่อาจลักลอบผสมสารอันตรายได้ ดังนั้น ต้องพิจารณาจากการโฆษณาของสินค้าเหล่านั้นด้วยว่าโอ้อวดเกินจริงหรือไม่ ต้องมีสติและใช้วิจารณญาณอย่างมาก อย่าเพิ่งหลงเชื่อเพราะเห็นเป็นแค่ดารามารีวิวหรือโฆษณาแนะนำ ยิ่งหากโฆษณาเกินจริงหรือโอเวอร์ก็ยิ่งแสดงว่าเชื่อถือไม่ได้

ก่อนจะเลือกซื้อสินค้าใด จริงๆ แล้ว ตัวเราเองที่ต้องมีสติและพิจารณาให้ดี ไม่หลงใหลไปกับคำโฆษณาเกินจริง หรือแค่มีคนดังมารีวิวแนะนำ หรือเพียงเพราะมีของรางวัลมาแลกแจกแถมหรือชิงโชค เพราะอาจตกเป็นเหยื่อของการตลาด หรือเสียเงิน เสียสุขภาพโดยใช่เหตุได้ เพราะสุดท้ายคนที่ตัดสินใจซื้อก็คือตัวของเราเอง ก็ต้องรับของการตัดสินใจนั้นเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น