“หมออดิศักดิ์” ชี้ เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ไม่ควรให้อยู่บ้านตามลำพัง ย้ำ ต้องฝึกทักษะตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ให้อยู่คนเดียวได้อย่างปลอดภัย ติดเบอร์สำคัญ บอกกฎกติกาให้ลูกรู้ โทรศัพท์สอบถามเด็กเป็นระยะๆ หลังเกิดเหตุสลด 4 เด็กพลัดตกตึก เพื่อนบ้าน ครู รู้ว่าเด็กอยู่คนเดียวควรแจ้ง 1300 ให้เจ้าหน้าที่มาช่วยดูแล
วันนี้ (4 พ.ค.) รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล แถลงข่าวบทเรียนกรณีเด็กตกตึกและเด็กตายในเนิร์สเซอรี่ ร่วมกับศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี และ สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้าง เสริมสุขภาพ (สสส.) ว่า ท่ามกลางสังคมที่เร่งรีบในปัจจุบัน ทำให้หลายครั้งผู้ใหญ่ต้องปล่อยให้เด็กอยู่บ้านเพียงลำพัง หรือให้เด็กดูแลกันเองในบ้าน ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่างๆ ตามมา ซึ่งคำแนะนำสำหรับผู้ปกครองในการให้เด็กอยู่บ้านเพียงลำพัง คือ เด็กอายุน้อยกว่า 12 ปี ไม่ปล่อยให้อยู่บ้านตามลำพังส่วนเด็กอายุมากกว่า 12 ปี ควรมีความพร้อม คือ 1. สภาพร่างกายและสภาพจิตใจแข็งแรง 2. สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ เช่น เมื่อคนแปลกหน้าจะเข้ามาในบ้าน และ 3. มีความมั่นใจในการอยู่บ้านเพียงลำพัง
รศ.นพ.อดิศักดิ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ ผู้ปกครองควรติดเบอร์โทรศัพท์ที่สำคัญไว้ในที่มองเห็นง่าย เช่น เบอร์มือถือของผู้ปกครอง 191 เป็นต้น เก็บสิ่งของอันตรายและยาอันตรายไว้ในที่ปลอดภัย สื่อสารกับเด็กถึงกฎ กติกา ในการอยู่บ้านเพียงลำพังว่าอะไรที่ทำได้ อะไรที่ห้ามทำ โทรศัพท์สอบถามเด็กเป็นระยะๆ และไม่ควรปล่อยให้เด็กอยู่บ้านตามลำพังบ่อยเกินไป
“เด็กจะสามารถอยู่ได้ด้วยตนเองเมื่ออายุประมาณ 12 ปี แต่เด็กต้องได้รับการฝึกฝน ได้รับการสอน จัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัยและได้รับการประเมินแล้วว่าสามารถอยู่ได้ตามลำพัง โดยต้องฝึกเด็กตั้งแต่อายุ 10 ปีขึ้นไป มีการฝึกการทดสอบการแก้ไขปัญหาต่างๆ รวมถึงกรณีฉุกเฉินด้วย ซึ่งเป็นลักษณะเด็กอยู่คนเดียว (Home Alone) แต่กรณีเด็ก 4 คนที่เป็นข่าวไม่ใช่ลักษณะเด็กอยู่คนเดียว แต่เด็กที่เป็นพี่คนโตวัย 11 ปี ต้องดูแลน้องอีก 3 คน คุณตาเล่าว่า เหตุน่าจะเกิดจากพี่คนโตช่วยแม่ล้างจาน อาจทำจานตกลงไปก่อน และจะเก็บจานอาหารที่ทำตกลงไป ทำให้พลัดตก น้องอีก 3 คน ก็พยายามที่จะช่วยเหลือพี่ทำให้ตาข่ายรับน้ำหนักไม่ได้ หากพี่ไม่เก็บจานหรือน้องใช้วิธีการเรียกเพื่อนบ้านมาช่วย เหตุการณ์ทั้งหมดอาจะไม่เกิดเช่นนี้ จึงแสดงให้เห็นว่าเด็กอยู่คนเดียวหรือเด็กที่ต้องดูแลน้องโดยไม่มีผู้ใหญ่อยู่ ต้องมีทั้งวุฒิภาวะ และต้องได้รับการฝึกฝน” รศ.นพ.อดิศักดิ์ กล่าว
รศ.นพ.อดิศักดิ์ กล่าวว่า การละทิ้งเด็กไว้ ณ สถานที่ใดๆ โดยไม่จัดให้มีการป้องกันดูแลสวัสดิภาพหรือให้การเลี้ยงดูที่เหมาะสม ถือเป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ด้วย ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขณะนี้มีหน่วยงานที่มีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือ คือ บ้านพักเด็กซึ่งมีครบทุกจังหวัด แต่ไม่เพียงพอรองรับได้ไม่หมด ดังนั้น สิ่งที่พยายามเรียกร้อง คือ การคุ้มครองเด็กระดับท้องถิ่น ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา เพื่อให้ท้องถิ่น ชุมชน ไม่ต้องส่งเด็กมาที่บ้านพักเด็ก ซึ่งมีเพียง 1 แห่งต่อ 1 จังหวัด จึงต้องมีการผลิตนักพัฒนาเด็กและครอบครัวชุมชนให้เกิดขึ้น พร้อมทั้งพัฒนาศูนย์เด็กบ้านหลังเรียน พัฒนาศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่สามารถรองรับเด็กได้ ลักษณะเหมือนโรงเรียนประจำ และใช้พื้นที่ในชุมชนเช่นพื้นที่โรงเรียนเพื่อเป็นศูนย์ในการดูแลเด็กกลุ่มเปราะบาง กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในช่วงวันหยุด ช่วงเวลากลางคืน ซึ่งเป็นแนวคิดในการพัฒนาเพื่อขยายงานในการคุ้มครองเด็กของบ้านพักเด็กให้ลงถึงชุมชนได้
“หน่วยงานที่มีหน้าที่ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก จะต้องมีข้อมูลให้พ่อแม่สามารถขอความช่วยเหลือได้ ซึ่งในความเป็นจริงมีอยู่แล้ว แต่พ่อแม่ไม่ไปขอความช่วยเหลือ แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ยังขาดความชัดเจนต่อสังคมไทย เนื่องจากกรณีเด็ก 4 คน ควรจะถูกค้นพบปัญหาได้ตั้งแต่เพื่อนบ้าน ไม่ใช่เห็นว่าพี่เป็นเด็กดีสามารถดูแลน้องได้ ซึ่งในความเป็นจริงเด็กอายุ 11 ปี ไม่ควรดูแลน้องถึง 3 คน ตามลำพัง เพื่อนบ้านต้อง โทร.แจ้ง 1300 เพื่อให้เข้าไปช่วยเหลือ โรงเรียนที่มีกระบวนการเยี่ยมบ้านเด็ก เมื่อครูพบว่าเด็กนักเรียนของตนเองอายุ 11 ปี ต้องอยู่บ้านตามลำพังข้ามคืน โดยต้องดูแลน้องถึง 3 คน และยังดูแลน้องที่มีเด็กอายุต่ำสุด 5 ขวบอีก ครูต้องไปเยี่ยมบ้านและต้องตัดสินใจให้การช่วยเหลือเด็ก ดังนั้น การลงสำรวจพื้นที่โดยเจ้าหน้าที่ของบ้านพักเด็ก และรวมถึงโรงเรียนที่มีกระบวนการให้ครูเยี่ยมบ้านเด็ก มีความจำเป็นมากเมื่อพบเด็กอยู่คนเดียวตามลำพัง ต้องดูแลน้องตามลำพังกลางคืน หรือเพื่อนบ้านต้องโทร.แจ้ง 1300 เพื่อแจ้งเจ้าหน้าที่ โดยเจ้าหน้าที่ต้องจัดการวิเคราะห์ปัญหาจะให้การช่วยเหลืออย่างไร เพราะขณะนี้ มีเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กเท่านั้นที่ทำหน้าที่นี้ซึ่งไม่เพียงพอ ฉะนั้น ต้องสร้างให้มีเจ้าหน้าที่พัฒนาเด็กและครอบครัวท้องถิ่น หรืออาจจะใช้ระบบเพื่อนบ้านเข้ามาช่วย อย่างไรก็ตาม จะต้องไม่ให้เด็กอยู่ตามลำพังต้องมีการจัดการเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ” รศ.นพ.อดิศักดิ์ กล่าว
รศ.นพ.อดิศักดิ์ กล่าวถึงกรณีเด็กตายในเนิร์สเซอรี่ ว่า จริงแล้วแม่ที่ฝากเด็กไว้กับเนิร์สเซอรี่ เมื่อพบบาดแผลบนตัวเด็กโดยได้ประวัติ รู้สึกว่าไม่น่าเชื่อถือหรือบาดแผลที่ตำแหน่งที่ไม่ควรจะเกิดการกระแทกได้ง่าย หรือบาดแผลรุนแรงมาก ให้พาไปพบแพทย์ แพทย์ตรวจแล้วสงสัยว่าเด็กจะถูกกระทำ แพทย์ต้องรายงาน 1300 ทันที และร่วมกับรายงานต่อตำรวจต่อไป 1300 ต้องเข้าไปช่วยเหลือเด็กตั้งแต่แรก และดำเนินการยุติการบริการของเนิร์สเซอรี่ทันที เมื่อสงสัยว่าจะมีการประกอบการที่ไม่เหมาะสม คนที่จะผลักดันให้ระบบเดินหน้าไม่ใช่แม่ที่ลูกเสียชีวิตและมาแจ้งความกับตำรวจ แต่ต้องเริ่มตั้งแต่คนที่พบเห็นตั้งแต่แรก เช่น พ่อแม่ หมอ ตำรวจ ใครพบเหตุก่อนจะต้องรายงาน 1300 ทันที ซึ่งต้องเข้าไปจัดการตั้งแต่แรก