สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เผย 4 วิธีหลักรูปแบบใหม่ในการกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะส่วน (Body contouring) โดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัด
รศ.นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยได้ตระหนักถึงปัญหาสุขภาพของผู้หญิง เนื่องจากในเดือนมีนาคมของทุกปี เป็นวันสำคัญและอยู่ในช่วงของวันสตรีสากล โดยที่ผ่านมา มีผู้หญิงจำนวนมาก มักประสบปัญหาในเรื่องของผิวพรรณและรูปร่าง โดยเฉพาะเรื่องของการหลงเชื่อจากการบริโภคข่าวสารผ่านสังคมออนไลน์ ทั้งในเรื่องของการแต่งเติมเสริมความงาม อาทิ การดูดไขมันและวิธีการสลายไขมัน รวมถึงการใช้เลเซอร์และเครื่องมือต่างๆ ในการดูแลส่วนสัดและรูปร่างให้คงความสวยงามไว้ตลอดนานเท่านาน นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้บริโภคควรรับรู้เพื่อที่จะเลือกวิธีในการรักษาหรือเข้ารับบริการได้อย่างถูกต้อง
พญ.จันทร์จิรา สวัสดิพงษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการกำจัดไขมันส่วนเกินเฉพาะส่วน (Body contouring) โดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัดในปัจจุบันว่า ปัญหาเรื่องของไขมันส่วนเกินเป็นเรื่องที่คนให้ความสนใจกันมากขึ้น โดยพบว่าไม่เฉพาะแต่คนรูปร่างอ้วนเท่านั้นที่มีปัญหาดังกล่าว แต่คนผอมก็มีความผิดปกติของไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดได้เช่นเดียวกัน โดยตำแหน่งที่พบบ่อย เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา เป็นต้น ถึงแม้ว่าการใช้วิธีการดูดไขมันส่วนเกินจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงและมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายสูง พบว่ามีความเสี่ยงระหว่างการรักษา ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงจากการดมยาสลบทั้งก่อนและระหว่างการรักษา การมีแผล มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือมีรอยฟกช้ำได้มาก ทำให้ต้องอาศัยเวลาในการดูแลฟื้นฟูหลังการรักษานาน ดังนั้น จึงมีการคิดค้นเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อนำมาใช้ในการรักษาเรื่องของไขมันส่วนเกินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเครื่องมือดังกล่าวสามารถลดไขมันโดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องเจ็บตัวมาก ไม่มีแผล มีผลข้างเคียงน้อย และไม่ต้องใช้เวลาในการดูแลรักษานาน
พญ.จันทร์จิรา กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีที่พบว่าใช้ได้ผลดีประกอบด้วย 1. การลดไขมันโดยการใช้ความเย็น (Cryolipolysis) โดยพบว่าเซลล์ไขมันเป็นเซลล์ที่มีความไวกับความเย็นได้มากกว่าเซลล์ผิวหนังส่วนอื่นๆ ทำให้เซลล์ไขมันถูกทำลายตามมาหลังการรักษาเพียง 1 - 2 ครั้ง โดยการรักษาจะเริ่มเห็นผลได้ดีในช่วง 4 - 12 สัปดาห์หลังการรักษา 2. การลดไขมันโดยการใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency) เพื่อทำให้เกิดความร้อนในบริเวณชั้นไขมัน ซึ่งถ้านานเพียงพอจะทำให้เซลล์ไขมันถูกทำลาย การรักษาชนิดนี้มักต้องทำซ้ำหลายครั้ง ขึ้นกับเครื่องมือที่ใช้ จึงจะเห็นผลได้ดีในการลดไขมัน
3. การลดไขมันโดยการใช้อัลตราซาวนด์ (High-Intensity Focused Ultrasound ; HIFU) ซึ่งอัลตราซาวนด์จะทำให้มีการสั่นของเนื้อเยื่อเป้าหมายอย่างรวดเร็วและเกิดความร้อน ซึ่งจะทำลายไขมันตามมา การรักษาชนิดนี้มักทำ 1 - 2 ครั้ง ก็สามารถเห็นผลได้ดี และ 4. การลดไขมันโดยการใช้เลเซอร์ (Low-level laser therapy) เป็นการใช้เลเซอร์เพื่อทำให้เซลล์ไขมันมีขนาดเล็กลง ต้องทำหลายครั้งจึงจะเห็นผล
ศ.ดร.นพ.ประวิตร อัศวานนท์ ประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่าเทคโนโลยีทั้ง 4 วิธี สามารถทำได้โดยไม่ต้องอาศัยการดมยาสลบ เครื่องมือบางชนิดทำได้โดยไม่ต้องอาศัยยาชา บางชนิดอาศัยเพียงการทายาชาเฉพาะที่ผิวหนังเพื่อทำให้รู้สึกสบายมากขึ้นขณะทำเท่านั้น หลังการรักษาผู้ป่วยไม่ต้องพักฟื้นนาน ส่วนมากสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติทันทีหลังทำ โดยผลข้างเคียงที่พบมีรายงานไม่มาก ส่วนมากพบเพียงอาการปวดหรือเจ็บเล็กน้อยขณะทำ พบมีอาการบวมแดงหรือมีรอยช้ำหลังทำได้ซึ่งมักหายได้เองในเวลาไม่นาน ส่วนการรักษาด้วยวิธีอื่นเช่นการฉีดสารเข้าใต้ผิวหนัง (Mesotherapy) พบว่า ยังไม่มีการศึกษาถึงประสิทธิภาพที่ชัดเจนของยาที่นำมาฉีด ในประเทศไทยหรือแม้แต่ในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก สารต่างๆ เหล่านี้ยังไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาเพื่อนำมาใช้ฉีดเพื่อลดไขมันเฉพาะส่วน ดังนั้น การนำยามาใช้ผิดประเภทอาจก่อให้เกิดผลเสียตามมาได้ อีกทั้งจากการศึกษาและรายงานเคสผู้ป่วยของต่างประเทศยังพบผลข้างเคียงหลังการฉีดสารเพื่อลดไขมันเช่นพบมีอาการบวมแดงบริเวณที่ฉีด มีการติดเชื้อมัยโคแบคทีเรียในตำแหน่งที่ฉีด หรือกรณีสารที่ใช้ฉีดมีสารสเตียรอยด์ผสมอยู่อาจพบทำให้มีอาการบวม มีรอยแตกลายของผิวหนังตามมาได้