สธ. เดินหน้า 3 มาตรการคัดกรอง “วัณโรค” ผู้ติดเชื้อเอชไอวี หวังลดอัตราเสียชีวิตที่สูงถึง 13 - 14% เร่งเอกซเรย์ปอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ทุกคน พร้อมค้นหาวัณโรคแฝงทางผิวหนัง เอกซ์เรย์ปอดรายเก่าที่ไอผิดปกติ
วันนี้ (16 ก.พ.) นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังประชุมการบริหารจัดการเชิงนโยบายเร่งรัดการดำเนินงาน เพื่อยุติปัญหาวัณโรคและเอดส์ ครั้งที่ 2/2561 ว่า ประเทศไทยเป็น 1 ใน 14 ประเทศที่พบวัณโรคร่วมกับเอดส์สูง และวัณโรคเป็นโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่พบบ่อยที่สุด 1 ใน 3 ในผู้ป่วยเอดส์ เป็นเหตุให้เสียชีวิตมากที่สุด โดยผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ป่วยเป็นวัณโรคจะมีอัตราการเสียชีวิตร้อยละ 13 - 14 หรือทุก 7 คน มีเสียชีวิต 1 คน ในขณะที่ผู้ติดเชื้อวัณโรคที่ไม่มีเชื้อเอชไอวีจะมีอัตราการเสียชีวิตเพียงร้อยละ 7 เท่านั้น ดังนั้น หากวัณโรคถูกวินิจฉัยและเริ่มการรักษาที่รวดเร็ว จะลดอัตราการเสียชีวิต ลดโอกาสการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคในชุมชน รวมทั้งการค้นหาผู้สัมผัสร่วมบ้านรวดเร็วจะช่วยยับยั้งการแพร่กระจายเชื้อวัณโรค ป้องการระบาดในวงกว้างได้สำเร็จ
ด้าน นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข ปลัด สธ. กล่าวว่า สิ่งที่ต้องเร่งรัดดำเนินการเพื่อยุติเอดส์และวัณโรค มี 2 เรื่องสำคัญ คือ การพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารเพื่อบูรณาการเชื่อมโยงให้เป็นโปรแกรมเดียว ข้อมูลชุดเดียวกันลดความซ้ำซ้อนของการบันทึกข้อมูล รวมถึงให้มีคืนข้อมูลให้พื้นที่ได้ใช้ประโยชน์โดยประสานกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอย่างใกล้ชิด และการเอกซเรย์ในผู้ติดเชื้อเอชไอวี เพื่อคัดกรองวัณโรค รวมทั้งการรักษาวัณโรคที่แฝงตัวอยู่โดยยังไม่ปรากฏอาการ
สำหรับการดำเนินงานมีรายละเอียด ดังนี้ 1. คัดกรองวัณโรคด้วยการเอกซเรย์ปอดในผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ทุกราย ประมาณ 28,000 รายต่อปี 2. สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายเก่า จะเอกซเรย์ผู้ที่มีอาการไอผิดปกติ มีไข้ น้ำหนักลด เหงื่อออกผิดปกติกลางคืน รวมทั้งเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดวัณโรค 3. ค้นหาวัณโรคแฝงในผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ด้วยการทดสอบทางผิวหนัง หากให้ผลบวกจะรักษาทันที ในปี 2561 นำร่องดำเนินการคัดกรองวัณโรคแฝงด้วยการทดสอบทางผิวหนัง ในโรงพยาบาล 31 แห่ง และเรือนจำ 58 แห่ง โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนโลกและสำนักวัณโรค ในอนาคตจะผลักดันการทดสอบและรักษาวัณโรคแฝงเข้าชุดสิทธิประโยชน์ต่อไป