สัปดาห์นี้ถึงคิวการถ่ายทอดเรื่องราวของลูกชายคนเล็ก “สิน สิทธิสมาน” หรือ “เฉินเทียนเป่า” ที่เดินทางไปเรียนต่อที่ประเทศจีนตามรอยพี่ชาย เขาได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในต่างแดนกับเพื่อนต่างชาติ จากที่คิดว่าจะรอดไหม จะไหวเหรอ แต่เมื่อถึงเวลา ชีวิตได้นำทางให้เขาต้องเอาตัวรอด และได้รับประสบการณ์ที่มากกว่าแค่เรื่อง “เรียน” ในห้องเรียนเท่านั้น ประตูชีวิตบานใหญ่ได้เปิดโลกทัศน์ให้เขาพร้อมสำหรับการเรียนรู้วิชาชีวิตแล้ว
……………………………………………………..
แม้จะรู้มาหลายปีแล้วว่าตัวเองจะต้องมาศึกษาต่อที่ดินแดนมังกรหรือประเทศจีน และก็ได้เตรียมตัวพอสมควร แต่พอถึงเวลาที่ต้องไปจริง ๆ ก็ยังคิดในใจเสมอว่าจะไหวเหรอ เราจะปรับตัวได้ไหม เราจะเอาตัวรอดได้ไหม !
แต่ด้วยความที่ผมโชคดีมีพี่ชายที่เคยเรียนที่จีนมาก่อนแล้วปีหนึ่งที่มหานครเซี่ยงไฮ้ ก็ทำให้หลาย ๆ อย่างไม่ลำบากจนเกินไป จะถือว่าสบายกว่าคนอื่น ๆ ก็ว่าได้ แต่กระนั้นก็ต้องมีการปรับตัวและเรียนรู้ด้วยตัวเองด้วย ไม่ใช่เอะอะก็พึ่งพาพี่ชายไปหมดทุกอย่าง
กลางปีที่แล้ว ผมได้ไปเรียนที่เมืองหนานจิง ชีวิตการเรียนจะเริ่มช่วงเช้าตั้งแต่ 8.00 น. จนถึง 11.30 น. และช่วงบ่ายจะเริ่ม 13.30 น. - 15.40 น. ทุก ๆ วันก็ใช้ชีวิตคล้าย ๆ กับไปโรงเรียนสมัยอยู่มัธยมศึกษาที่เมืองไทย ต้องตื่นแต่เช้าไปเรียนให้ทัน
การเรียนที่หนานจิงจะค่อนข้างเข้มงวดกับเรื่องวินัย การตรงต่อเวลาของนักศึกษามาก ถ้ามาสายก็จะถูกตัดคะแนนเหมือนตอนอยู่โรงเรียนเดิมไม่มีผิดเลย แต่บางครั้งก็อาจจะมีการลงโทษแบบอื่นด้วย อย่างตัวผมเองก็เคยไปสาย และถูกทำโทษโดยให้กลับไปคิดการแสดงหน้าชั้นเรียน ซึ่งผมก็เลือกไปเล่นกีต้าร์หน้าห้องเรียนเอาตัวรอดไปได้ และจากนั้นก็พยายามไปเรียนให้ทัน
เพื่อนในห้องเรียนทุกคนจะเป็นชาวต่างชาติทั้งหมด และก็เป็นชาติที่แทบไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อนบ่อยนัก ยกเว้นลาว มีผมเป็นคนไทยคนเดียว ไม่มีคนจีน ส่วนใหญ่เพื่อนจะพูดภาษาอังกฤษกับภาษารัสเซียเป็นภาษาหลักในการสื่อสารกัน จะมีภาษาอื่นบ้างก็เป็นส่วนน้อย
นักเรียนต่างชาติที่ผมได้รู้จักมีความหลากหลายมาก มีตั้งแต่คนที่จริงจังมาก ๆ กับการเรียน คนที่ขี้เล่นชวนคุยเก่ง จนกระทั่งนักเลงก็มีครับ สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจก็คือไม่ว่าใครจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อเริ่มเรียนทุกคนจะจริงจังกับการเรียนมาก จะขยันถามขยันยกมือกันตลอดเวลา จนบางคำถาม เหล่าซือก็ถึงกับต้องกลับบ้านไปหาคำตอบให้ในวันต่อมาเลย
ที่น่าประทับใจที่สุดคือ แม้ว่าหลายเชื้อชาติที่เข้ามาเรียนจะมีภาษาของตนเอง แต่เมื่อเริ่มเรียนทุกคนจะพูดภาษาจีนในชั้นเรียนเท่านั้น ย้ำครับว่าเท่านั้นจริง ๆ ทั้งที่เหล่าซือก็ไม่ได้ห้าม แต่ทุกคนก็เลือกที่จะปฎิบัติแบบนี้
ส่วนเรื่องชีวิตประจำวันก็จะใช้ภาษาจีนนี่แหละครับในการสื่อสาร ถ้านอกจากเมืองเซี่ยงไฮ้แล้ว แทบจะไม่มีร้านค้าหรือร้านอาหารไหนที่พูดภาษาอังกฤษได้ นั่นเท่ากับเป็นการบีบบังคับให้ผมต้องใช้ภาษาจีน จึงทำให้เกิดพัฒนาการอย่างรวดเร็ว ทำให้รู้ได้เลยว่าการเรียนรู้นอกห้องเรียนนั้นต่างจากในห้องเรียนมาก บางครั้งที่เราพูดผิดพูดถูก เราก็จะโดนขำอยู่บ่อย ๆ จนถ้าเราไม่นิ่งพออาจจะทำให้เสียความมั่นใจจนไม่กล้าพูดออกมา แต่เชื่อเถอะครับว่าพูดมันไปเถอะ หลายครั้งที่ผมพูดผิดเค้าก็จะสอนให้พูดถูก บางครั้งก็คุยกันต่ออีกหลายเรื่อง จนบางทีอาจจะสนิทกันไปเลยก็ได้
และสิ่งที่ผมตื่นตาตื่นใจที่สุดภายใน 4 เดือนที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในหนานจิง โดยที่ผมได้ทราบจากพี่ชายมาก่อนว่าเซี่ยงไฮ้ที่เรียกได้ว่าเป็นมหานครที่เจริญที่สุดในทุก ๆ ด้าน ซึ่งผมเคยไปสัมผัสเพียงแค่ไปเที่ยว ยังไม่เคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น พี่ชายมักจะโฆษณาเอาไว้หลายครั้งว่า เมืองหนานจิงยังไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับเซี่ยงไฮ้ได้มากนัก ทั้งที่จริงผมก็สัมผัสได้ว่าหนานจิงเองก็มีความเจริญก้าวหน้ามากกว่าประเทศไทยและหลาย ๆ ประเทศในโลกนี้ที่ผมเคยไปเยือนโดยเฉพาะในเรื่องของธุรกิจ E-COMMERCE ที่พัฒนาไปถึงขั้นที่เราไม่จำเป็นต้องหยิบกระเป๋าตังค์มาเพื่อจับจ่ายใช้สอย แค่ใช้โทรศัพท์มือถือ เราก็สามารถจ่ายเงินได้ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของค่าน้ำ ค่าไฟ หรือร้านค้าข้างทางที่ผมซื้อใส้กรอก 2ไม้ ก็ไม่ได้ใช้เงินสด แต่ใช้มือถือ รวมถึงสั่งของต่าง ๆ บนแอปพลิเคชั่น
อากาศเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องปรับตัว ที่หนานจิงนี่หนาวจริง ต้นปีนี้มีหิมะตกอยู่สองสามวัน ทั่วมหาวิทยาลัยขาวโพลนไปเลย เราคนเมืองร้อน ไปเที่ยวเมืองหนาวสัปดาห์สองสัปดาห์อาจดูสนุก แต่เมื่อต้องไปใช้ชีวิตอยู่จริงแล้วต้องปรับตัวพอสมควร อากาศหนาวทำให้ต้องหมกตัวอยู่ในห้อง จะเดินไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสหลังมหาวิทยาลัยที่อุตส่าห์เป็นสมาชิกรายปีไว้ก็ไม่ไหว จะออกไปเตะฟุตบอลกับเพื่อนก็ไม่สะดวก ดีที่ไม่ได้หนาวทั้งปี
โดยภาพรวมแล้วประเทศจีนพัฒนาเร็วมาก และคนจีนก็ภูมิใจในผู้นำของเขามากเช่นกัน ผมโชคดีที่ได้มาอยู่ประเทศจีนในช่วงการบริหารประเทศขึ้นเทอมที่สองของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ตลอด 4 - 5 ปีข้างหน้าผมคงจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอีกมาก
ตั้งแต่ได้มาเรียนที่นี่ มีหลายสิ่งที่เปลี่ยนตัวผมไปหลายอย่าง ทั้งทักษะการใช้ชีวิต การเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่าง ๆ เรียกว่าที่เรียนรู้มาก่อนหน้านี้ พอมาที่นี่เหมือนเรามาลงสนามจริงที่ไม่อาจคาดเดาว่าจะเจออะไรข้างหน้าได้ แต่เมื่อก้าวเข้ามาแล้ว เราก็จะต้องหาวิธีอยู่กับมันให้ได้
วิธีของเรานั้นไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่น ไม่จำเป็นต้องมีสมการตายตัว แต่แค่มันใช้การได้มันก็เพียงพอแล้ว หลายคนที่มีโอกาสก็มักปิดโอกาสตัวเองเพราะคำว่า กลัว ไม่กล้า จะไหวเหรอ
แต่จริง ๆ แล้ว ถ้าเราก้าวผ่านตรงนี้ไปได้ ถ้าไปถึงตรงนั้นจริง ๆ เชื่อเถอะครับว่าทุกคนทำได้