xs
xsm
sm
md
lg

ทริปจีนที่ทำให้ต้องเปลี่ยนความคิดตลอดไป! / สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ภายหลังจากที่ลูกชายทั้งสองคนของดิฉันเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศจีน และได้มีโอกาสใช้ประสบการณ์ในการเป็นล่ามและดูแลเพื่อนรุ่นพี่ที่ได้เดินทางไปหาที่เซี่ยงไฮ้ ทำให้โปรแกรมการท่องเที่ยวอันบรรเจิดก็เกิดขึ้น และกลายมาเป็นบทความชิ้นนี้ของ “สรวง สิทธิสมาน” ที่มาเล่าถึงประสบการณ์และภาพสะท้อนของเพื่อนร่วมทริปที่ต้องเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับประเทศจีนตลอดไป
………………………………………………….
ในช่วงวันคริสต์มาสและปีใหม่ที่ผ่านมา ได้มีกลุ่มพี่ๆ ทันตแพทย์ที่รู้จักกันระหว่างเข้าร่วมโครงการแพทย์เดินเท้าของมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) เดินทางมาเที่ยวที่ประเทศจีนโดยมีแผนว่าจะใช้เวลาทั้งหมด 9 วัน ท่องเที่ยวไปใน 3 เมือง ได้แก่ เซี่ยงไฮ้ หางโจว และ ซูโจว โดยมีผมช่วยเป็นทั้งล่ามและมัคคุเทศน์นำเที่ยวไปในเวลาเดียวกัน
การเดินทางครั้งนี้ในด้านหนึ่งก็สนุกสนานเหมือนการรวมตัวของกลุ่มเพื่อนทั่วๆ ไป แต่สิ่งที่พิเศษที่สุดสำหรับการเดินทางครั้งนี้คือบางสิ่งที่เปลี่ยนไป
ไม่ใช่กับตัวผม แต่เป็นมุมมองและทัศนคติของผู้ร่วมเดินทางทริปนี้ในการมาเยือนประเทศจีน ทริปที่ทำให้ประเทศจีนในความคิดของคนบางคนเปลี่ยนไปตลอดกาล...
เช้าวันที่ 24 ธันวาคม 2560 ทุกๆ คนเดินทางมาถึง ณ สนามบินผู่ตง ซึ่งเป็นสนามบินนานาชาติประจำมหานครนครเซี่ยงไฮ้ ที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางในครั้งนี้ ผมกับน้องชายได้นั่งรถไฟจากหนานจิงไปปักหลักนอนรออยู่แล้ว
เท่าที่ผมรู้จากการลองสอบถามดู ทุกคนไม่ได้มีความคาดหวังอะไรกับการเดินทางทริปนี้เป็นพิเศษ เพียงแค่ต้องการมาเปิดหูเปิดตา และสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนๆ โดยมีผมซึ่งอยู่ในกลุ่มด้วย ทำหน้าที่จัดการวางโปรแกรมและเตรียมการสารพัดอย่างที่จำเป็น ว่าไปแล้วพวกเขาก็มาเยี่ยมผมกลายๆ นั่นแหละ ที่ไหนมีเพื่อนที่นั่นย่อมสนุกสนาน
และสำหรับบางคนการเดินทางครั้งนี้ คือ การเดินทางมาเยือนประเทศจีนเป็นครั้งแรก และไม่ได้ติดตามข่าวสารความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วของประเทศจีนมากนัก ตรงกันข้ามหลายคนยังคาดว่าจะได้เจอกับวิถีชีวิตและการปฏิบัติต่างๆ ของคนจีนจำนวนหนึ่งที่เคยได้ยินได้ฟังกันมายาวนาน เช่น การแซงคิว การบ้วนน้ำลายในที่สาธารณะ การพูดคุยเสียงดัง ซึ่งกลายเป็นวัฒนธรรมเชิงลบไปเสียแล้วในประเทศไทย
แน่นอน สิ่งที่เพื่อนๆ หมอฟันของผมคาดว่าจะได้เห็นก็ยังพอมีให้เห็นอยู่ แต่สิ่งที่ไม่คาดว่าจะได้เห็นดูเหมือนจะบดบังภาพเหล่านั้นไป

นั่นคือตึกรามบ้านเรือนที่ใหญ่อลังการรองรับประชากรจำนวนมากในมหานครเซี่ยงไฮ้ แสงสีเสียงยามค่ำคืน ที่ไม่แพ้เมืองใหญ่ทางประเทศตะวันตก โดยเฉพาะละแวกเดอะบันด์ ไลฟ์สไตล์ที่ไม่จำเป็นต้องพกกระเป๋าสตางค์เลย ก็สามารถจับจ่ายใช้สอยใช้ชีวิตได้อย่างสะดวก การคมนาคมที่สะดวกรวดเร็ว โดยเฉพาะรถไฟระหว่างเมืองและรถไฟฟ้าใต้ดิน รวมทั้งคนจีนรุ่นใหม่ที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว
สิ่งเหล่านี้ทำให้มุมมองบางอย่างของเพื่อนๆ ต่อประเทศจีนนั้นเปลี่ยนไป ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้เคยเกิดขึ้นกับตัวผมแล้วในช่วงแรกที่เข้ามาศึกษาในประเทศจีนเมื่อปี 2559
ในช่วงหลังๆ มานี้ ผมได้เห็นคนไทยมากมายเริ่มยอมรับในการ “มา” ของประเทศจีน และมีบุตรหลานมากมายที่ได้รับโอกาสจากรัฐบาลประเทศจีน ในการให้ทุนการศึกษาให้ไปศึกษาในระดับชั้นต่าง ในประเทศจีน แต่ก็ยังมีบางคนที่ยังคงทำสีหน้าที่แสดงความรู้สึก “ประหลาด” ต่อผมเมื่อรู้ว่าผมเลือกที่จะศึกษาที่ประเทศจีน
อย่างไรก็ตาม การเปิดใจก็เป็นสิ่งสำคัญในการรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะดีหรือไม่ ก็ยังดีกว่าการรับรู้แต่สิ่งเดิมๆ จำเจอยู่ในกรอบความคิดที่ถูกออกแบบโดยผู้อื่น
แต่ถ้าหากเราเริ่มที่จะมองหาสิ่งใหม่ และพาตัวเองก้าวออกมาจาก comfort zone เราก็ได้เห็นความกว้างใหญ่ของโลกมนุษย์ ที่มีสิ่งน่าสนใจให้เราเรียนรู้และเก็บเกี่ยวอยู่ทั่วไปหมด และการออกเดินทางมาศึกษาในต่างแดนและหาโอกาสท่องเที่ยวยามว่างก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผม การนำตัวเองออกมาอยู่ในประเทศจีนที่กว้างใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก ทำให้ผมได้เรียนรู้ในสิ่งที่แตกต่างจากมุมมองของคนไทย
สิ่งที่คนไทยมองว่า “ประหลาด” กลับเป็นเพียงเรื่อง “ธรรมดา” สำหรับคนจีน
เพียงแค่กลุ่มมนุษย์ที่เติบโตมาในสถานที่ที่แตกต่าง วัฒนธรรมที่แตกต่าง มองโลกผ่านมุมมองของตัวเองและตัดสินไปว่าคนอีกฝั่งนั้น “ประหลาด” ไปเสียอย่างนั้น
แต่หากเราเปิดใจและลองมองในมุมที่แตกต่าง เราอาจจะพบว่า อาจจะเป็นตัวเราเองหรือเปล่าต่างหากที่ “ประหลาด” ?
ไม่ใช่ว่าผมเก่งกาจหรือรู้เรื่องประเทศจีนมากมายอะไร แค่ที่อาสาเป็นล่ามและมัคคุเทศน์จำเป็นให้พี่ๆ หมอฟันกลุ่มนี้ก็เพราะจะได้ถือโอกาสหาประสบการณ์โดยการวางแผนการเดินทาง การจองที่พัก จองตั๋วเครื่องบินและตั๋วรถไฟ รวมทั้งการได้ใช้ภาษาจีนในสนามจริง
ตลอดระยะเวลา 9 วัน ให้ประสบการณ์แก่ผมมากมาย เพราะแม้ว่าจะสามารถวางแผนล่วงหน้าในโลกออนไลน์ได้เกือบหมด แต่พอลงสนามจริงเจอสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะสภาพดินฟ้าอากาศและข้อจำกัดต่างๆ ก็ทำให้ต้องตัดสินใจเฉพาะหน้าแก้ปัญหากันไป
พวกเราท่องเที่ยงในมหานครเซี่ยงไฮ้ ที่ซึ่งตัวผมนั้นคุ้นเคยเป็นอย่างดี ทุกคนต่างร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า “ว้าวว..อย่างกับอยู่ในยุโรปเลย” เนื่องจากภายในตัวเมืองที่มีทั้งห้างสรรพสินค้าแบรนด์เนมต่างๆ มากมาย และตึกรามบ้านเรือนที่ตกแต่งเป็นศิลปะตะวันตกในยุคล่าอาณานิคม ไปจนถึงการเดินทางโดยรถไฟใต้ดินที่สามารถเดินทางได้อย่างทั่วถึงในบริเวณตัวเมืองและชานเมือง
พวกเราเดินทางต่อไปยังเมืองหางโจวซึ่งตั้งอยู่ในมณฑลเจ้อเจียง ที่ซึ่งเป็นเมืองหลวงของบริษัทในเครืออาลิบาบาของแจ็คหม่านั่นเอง ที่หางโจวมีสถานที่หลักที่เราตั้งเป้าจะไปกัน นั่นก็คือ ทะเลสาบซีหู หรือที่อยู่ของนางพญางูขาวนั่นเอง
พวกเราพักอยู่ในโฮมสเตย์กลางภูเขาที่บรรยากาศดีมากๆ เราได้พบกับคนจีนจิตใจรักการบริการที่เป็นเจ้าของโฮมสเตย์แห่งนั้นที่เป็นที่ปรึกษาแนะนำการท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ในเมืองหางโจว ทำให้เราเดินทางง่ายและลื่นไหลขึ้นเยอะ ซึ่งเมืองหางโจวนี้ก็เป็นเมืองที่พี่ๆ ทุกคนต่างประทับใจในบรรยากาศความ “ชิลล์” เป็นอย่างมาก
พวกเราเดินทางมายังเมืองสุดท้ายก่อนที่จะขึ้นเครื่องกลับประเทศไทยไป เมืองซูโจวเป็นเมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่ในมณฑลเจียงซู เป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมากและแต่ละที่เหมาะกับเฉพาะบางฤดูกาลเท่านั้น
เป็นทริปที่สนุกสนานมีความสุขกันมาก แต่ก็ไม่ใช่มีเรื่องดีไปเสียหมด เพราะในด้านที่โดนต้มตุ๋นก็ยังมี!
ทริปนี้มีเรื่องตลกที่เกิดขึ้นจากความ “เด๋อ” ของผมเยอะมาก หนึ่งในนั้นคือ การที่ผมพาทุกคนไป “โดนหลอก” กลางวันแสกๆ
เนื่องจากข้อเสนอสุดพิเศษที่เสนอมาให้พวกเราทั้ง 7 คน นั่งรถไปในสถานที่หนึ่งที่คนขับรถแนะนำว่าเป็นสถานที่เด็ดของซูโจว โดยห่างออกไป 4 กิโลเมตร ในราคาเพียง 15 หยวน หรือ75 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ถูกมาก ทำให้ผมหลงขึ้นรถคันนั้นไป นำพวกเราทุกคนไปสู่สถานที่หนึ่งที่เราเรียกมันว่า “สวนดอกไม้ปลอม” โดยมีค่าเข้าแพงถึงหัวละ70 หยวน หรือ 350 บาท ซึ่งกว่าจะรู้ตัวว่าโดนหลอกพวกเราก็จ่ายเงินและเดินเข้ามาในสวนดอกไม้ปลอมแห่งนี้เสียแล้ว คงไม่ต้องให้อธิบายว่าทำไมเราถึงตั้งชื่อให้สวนแห่งนี้ว่า “สวนดอกไม้ปลอมแล้ว” ก็เพราะดอกไม้ทั้งหมดในสวนแห่งนี้เป็นดอกไม้ปลอมนั่นเอง
แน่นอนว่าคนขับรถที่พาเรามาที่นี่ได้ “ค่าน้ำ” ไปอย่างไม่ต้องสงสัย เขาถึงคิดค่ารถได้ถูก เพราะได้ค่าน้ำตั้ง 7 หัวนั่นเอง
ไม่ว่ากัน ของแบบนี้มีอยู่ในทุกประเทศ อย่างน้อยก็ได้จำไว้เป็นบทเรียน
การเดินทางของพี่ๆ ในทริปนี้ได้ทำให้ผมย้ำเตือนตัวเองในการใช้ชีวิตอย่างกว้างขวาง เปิดใจรับสิ่งใหม่ แต่ก็ต้องเรียนรู้ทักษะการไม่ให้โดนหลอกง่ายๆ ด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกัน ก็อย่าเพิ่งปฏิเสธในสิ่งที่คนอื่นมองว่ามัน “ประหลาด” เป็นเรื่องที่เรารับไม่ได้ เพราะหากเราไม่เปิดใจแล้ว ตัวเราเองนี่แหละที่จะเสียโอกาสไปโดยไม่รู้ตัว และกลายเป็นคน ‘ประหลาด’ เสียเอง






กำลังโหลดความคิดเห็น