xs
xsm
sm
md
lg

เปิด 3 ช่องว่างใหญ่ “ครู-นักเรียน” มีผลต่อการเรียนการสอน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เปิด 3 ช่องว่างใหญ่ระหว่าง “ครู - นักเรียน” ดูแลไม่เท่าเทียม ไม่รู้ความสามารถเด็กรายคน ไม่มีเวลาพูดคุยใส่ใจ ส่วนช่องว่าง นักเรียนกับพ่อแม่ พบถูกกลั่นแกล้งใน ร.ร. ไม่กล้าพูดคุยเล่าปัญหา ไม่มีเวลาช่วยลูกทำการบ้าน เผยเด็กหวังพึ่งครูใส่ใจเป็นรายบุคคล

ชี้ “เด็กไทย” ต้องการครูใส่ใจเป็นรายบุคคล เหตุพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ ต้องการความรักก่อนความรู้ คาดหวังให้ครูเป็นที่พึ่ง เหตุพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ สสค.- สกว.- สพฐ. หนุน เปลี่ยน 201 โรงเรียนให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีความสุข ด้วยโมเดล เรียนสุข สนุกสอน พร้อมขยายผลห้องเรียน SQIP เป็นต้น แบบเรียนรู้ทั่วประเทศ

วันนี้ (15 ม.ค.) ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ หัวหน้าคณะวิจัยโครงการวิจัยปฏิบัติการโรงเรียนพัฒนาคุณภาพชีวิตต่อเนื่อง คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าวผลสำรวจ Gap ในห้องเรียนไทย จัดโดยสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ว่า จากผลสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 24,000 คน แบ่งเป็นนักเรียนชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 จำนวน 10,000 คน ครู 4,000 คน กลุ่มผู้บริหาร 200 คน และผู้ปกครอง 9,000 คน จากโรงเรียนขนาดกลาง 110 แห่ง พบว่า 4 เรื่องใหญ่ในมุมมองเด็กไทยที่มีผลต่อการเรียน คือ 1. เด็กอยากได้รับความใส่ใจเป็นรายบุคคลและไม่ลำเอียงจากครู 2. นิสัยและพฤติกรรมการเรียนของเด็กที่ยังต้องพัฒนา เช่น การอ่านการค้นคว้า การทำการบ้าน การมีส่วนร่วมในชั้น 3. ครอบครัวให้เวลาใส่ใจกับการเรียนของเด็กน้อยเกินไป และ 4. ความสัมพันธ์กับเพื่อน เช่น ความรู้สึกเป็นที่ยอมรับ การมีเพื่อนพูดคุยปรึกษาปัญหาต่างๆ การช่วยติวกันเองได้

ดร.อมรวิชช์ กล่าวว่า ส่วน 4 เรื่องใหญ่ของครูที่มีผลต่อการสอน คือ 1. ครูไม่มั่นใจในความรู้ความสามารถของตนบางเรื่อง เช่น การสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษ การวัดผลเพื่อพัฒนาผู้เรียน การปรับเทคนิคการสอนตามความต้องการผู้เรียน 2. ปัญหาช่องว่างระหว่างผู้บริหาร เช่น การยอมรับในความสามารถ การเข้าถึง การรับฟัง การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น 3. ปัญหาความสัมพันธ์กับผู้ปกครองที่ครูไม่มั่นใจนัก ขาดความคุ้นเคยสนิทสนม และ 4.ความสัมพันธ์ระหว่างครูด้วยกันยังมีเรื่องให้เติมเต็ม เช่น การช่วยเหลือระหว่างเพื่อนครูในแง่แลกเปลี่ยนวิธีการสอน การพูดคุยปัญหาในห้องเรียน สำหรับ 4 เรื่องใหญ่ในมุมมองของพ่อแม่ คือ 1. ไม่มีเวลาใส่ใจการเรียนลูก 2. ไม่มีส่วนร่วมในกิจกรรมกับโรงเรียน 3. ไม่มีความมั่นใจต่อโรงเรียน และ 4. ความมั่นใจต่อครูลดน้อยลง

“การสำรวจยังพบช่องว่างระหว่างครูกับนักเรียนที่เป็นปัญหาใหญ่อันดับต้นๆ ได้แก่ 1. ครูปฏิบัติต่อนักเรียนทุกคนอย่างเท่าเทียม 2. การรู้จุดหรือความสามารถของนักเรียนรายคน 3. การให้เวลาพูดคุยปัญหากับนักเรียน ส่วนช่องว่างระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครอง คือ 1. การถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียน 2. การพูดคุยเล่าปัญหาระหว่างผู้ปกครองและบุตร และ 3. การให้เวลาช่วยบุตรหลานทำการบ้าน และช่องว่างระหว่างครูกับผู้ปกครองที่เป็นปัญหา ได้แก่ 1. การให้เวลาพูดคุยและปรึกษาปัญหา 2. การรู้จุดเด่นและความสามารถของผู้เรียนรายคน สุดท้ายช่องว่างระหว่างครูกับผู้บริหาร ได้แก่ 1. การยอมรับในความสามารถของครู 2. การให้โอกาสครูกับการมีส่วนร่วมต่อการบริหาร” ดร.อมรวิชช์ กล่าว

ดร.อมรวิชช์ กล่าวว่า การสำรวจยังสะท้อนถึงระดับความผูกพันต่อกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งในมุมมองของเด็กนั้น การที่พ่อแม่/ผู้ปกครองมีเวลาช่วยทำการบ้านเสมอ เป็นข้อที่เด็กรู้สึกผูกพันน้อยที่สุด ซึ่งตรงอย่างยิ่งกับมุมมองของผู้ปกครองที่มีระดับความผูกพันต่อเรื่องการมีเวลาช่วยลูกทำการบ้านต่ำสุดเช่นกัน ยิ่งชี้ชัดว่า ในยุคนี้ เด็กๆ ต่างหวังเพิ่งครูค่อนข้างมาก อยากที่จะสนิทสนม มีครูเป็นที่ปรึกษา ทั้งเรื่องการเรียนและจิตใจ เพราะครอบครัวไม่มีเวลาให้ จากข้อเท็จจริงเหล่านี้ ไม่อยากให้มองว่าเป็นปัญหา แต่เป็นช่องว่างที่สามารถพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นได้ เป็นโอกาสให้โรงเรียนยกระดับเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีความสุข ผ่านการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายทั้ง นักเรียน ครู ผู้บริหาร พ่อแม่ผู้ปกครองรวมถึงชุมชนด้วย โดยเฉพาะในยามที่ทุกฝ่ายพยายามส่งเสริมเรื่องการเรียนรู้ให้แก่เด็กมากๆ แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดกลับคือความรัก ความใส่ใจ มีครูที่รักไว้ใจ เข้าใจ



กำลังโหลดความคิดเห็น