ภาพสะท้อนจาก WONDER พ่อแม่เลี้ยงดูแบบไหนได้ลูกแบบนั้น
ภาพยนตร์ที่ตั้งใจดูตั้งแต่รู้ว่าจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ แต่มีเหตุให้ล่วงเลยและลุ้นอยู่ว่าจะได้ดูหรือไม่ จนสุดท้ายก็สมใจ และไม่ผิดหวังจริงๆ กับภาพยนตร์เรื่องนี้
“WONDER ชีวิตมหัศจรรย์วันเดอร์”
ยกให้เป็นภาพยนตร์สุดอบอุ่นในหัวใจให้ตัวเองแบบส่งท้ายปีที่เต็มตื้น ลึกซึ้งกินใจ ที่สร้างจากนวนิยายที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง จนทำให้อยากรู้จักที่มาของภาพยนตร์เรื่องนี้
“WONDER ชีวิตมหัศจรรย์วันเดอร์” ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมเยาวชนติดอับดับ 1 New York Times Bestseller นานถึง 89 สัปดาห์ ประพันธ์โดยนักเขียนสาวชาวอเมริกันที่มีนามปากกาว่า R.J. Palacio (อาร์.เจ. ปาลาซิโอ) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์ตรงของเธอ เมื่อวันหนึ่งในปี 2008 เธอและลูกไปพบกับเด็กที่มีใบหน้าผิดปกติกำลังต่อคิวซื้อไอศครีมในสวนสาธารณะ ลูกของเธอจ้องใบหน้าเด็กคนนั้นแบบตาไม่กะพริบ เธอจึงรีบพาลูกออกจากตรงนั้น เพราะกลัวว่าเด็กคนนั้นจะรู้สึกแย่ แต่กลับกลายเป็นว่า การที่เธอพาลูกเดินหนี ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง เด็กคนนั้นรู้สึกไม่ดีกว่าเดิมเข้าไปอีก
ปาลาซิโอรู้สึกแย่มากเช่นกัน และในคืนนั้นเอง เธอเริ่มลงมือเขียนนวนิยายเรื่องนี้
“WONDER ชีวิตมหัศจรรย์วันเดอร์” เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเด็กที่เกิดมามีใบหน้าผิดปกติ มุมมองของเด็กคนนั้นจะเป็นยังไงกับปฏิกิริยาคนรอบข้างที่มีต่อเขา ปาลาซิโอเริ่มค้นคว้าข้อมูล และเลือกเอา Treacher-Collins Syndrome มาเป็นโรคที่ “อ๊อกกี้ พูลแมน” ตัวเอกของเรื่องต้องประสบมาแต่กำเนิด เป็นโรคที่เกิดจากยีนผิดปกติแค่ตัวเดียว หากแต่มันสามารถทำให้การวางตัวของกระดูกโครงหน้าผิดปกติได้
บางคนที่เป็นโรคนี้ อาจจะออกอาการน้อยมากจนไม่เห็นด้วยซ้ำ ส่วนบางคนอาจจะมีกระดูกงอกในกะโหลกจนส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ การมองเห็น และการได้ยิน บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไขตั้งแต่ก่อนอายุ 5 ขวบ ตามท้องเรื่องของภาพยนตร์ หนูน้อยอ๊อกกี้ต้องผ่าตัดถึง 27 ครั้ง
ปาลาซิโอต้องไปคลุกคลีกับครอบครัวของเด็กที่เป็นโรคนี้ เพื่อเรียนรู้ถึงมุมมองของพวกเขาที่มีต่อโลกภายนอกว่า มองแบบใด รู้สึกเช่นไร
ที่น่าชื่นใจมาก คือ เธอเลือกที่จะเล่าเรื่องราวโรคนี้ในมุมบวก !
และจากการที่ไปสัมผัสกับประสบการณ์จริง เธอตัดสินใจที่จะให้อ๊อกกี้เป็นเด็กประถมปลาย ที่เพิ่งเข้าสู่ระบบโรงเรียนเป็นครั้งแรกตอนเกรด 5 ด้วยเหตุผลว่า
“ช่วงอายุ 10 - 12 เหมาะกับการเล่าเรื่องมาก เพราะมันเต็มไปด้วยความดิบ มันคือช่วงเวลาที่เด็ก ๆ จะได้ค้นพบตัวตน ว่าพวกเขาอยากเป็นอะไรในอนาคต ทุกอย่างอยู่ในช่วงพัฒนาร่างกาย จิตใจ มิตรภาพ ความสนใจ และความสัมพันธ์กับพ่อแม่ มันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับอ๊อกกี้ที่จะได้เผชิญโลก”
นวนิยาย Wonder ถูกตีพิมพ์ในปี 2013 เมื่อหนังสือวางแผง ได้รับเสียงตอบรับอย่างมากจากสังคมกลุ่มผู้มีใบหน้าผิดปกติที่รอโอกาสให้โลกได้เห็นเรื่องราวของพวกเขามาโดยตลอด และยังโดนใจผู้คนที่ต้องทนโดดเดี่ยวเพราะแตกต่างจากผู้อื่นอีกมากมายในสังคม สิ่งที่เธอเล่าผ่านสายตาของอ๊อกกี้ โดนใจหลาย ๆ คน เพราะความเป็นจริงในโลกปัจจุบันที่ผู้คนส่วนใหญ่สนใจแต่เปลือกนอก จนไม่ทันใด้สังเกตความงดงามจากภายใน
จากความสำเร็จของหนังสือเล่มนี้ได้ไม่นาน ก็ไปเตะตาโปรดิวเซอร์ฮอลลีวู้ด และกลายมาเป็นภาพยนตร์ โดยได้ดาราเด็กคือ เจค็อบ เทรมเบลย์ มารับบท “อ๊อกกี้” โดยมี จูเลีย โรเบิร์ต และ โอเว่น วิลสัน มารับบทเป็นแม่และพ่อของอ๊อกกี้
ความประทับใจของเรื่องนี้ ก็คือ วิธีการดำเนินเรื่อง แทนที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดผ่านมุมมองของตัวเอกคืออ๊อกกี้คนเดียว แต่กลับมีวิธีเล่าผ่านตัวละครแทบจะทุกคนที่สะท้อนให้เห็นถึงที่มาของพฤติกรรมของตัวละครทุกคน ชนิดที่คาดไม่ถึง เพราะเท่ากับเป็นการตอกย้ำว่าผู้เขียนทำการบ้านอย่างหนักในเชิงจิตวิทยาด้วย เพราะตัวละครเด็กที่มีพฤติกรรมที่แตกต่างกัน บางคนนิสัยไม่ดีชอบรังแกเพื่อนเพราะพ่อแม่ก็รังแกลูกเช่นกัน หรือบางคนมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะพ่อแม่แยกทางกัน ผู้เขียนใส่รายละเอียดของนักแสดงแต่ละคนที่สะท้อนให้เห็นความเป็นจริงของชีวิตได้แยบยล และกระตุกคนเป็นพ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกในปัจจุบันได้ดีเยี่ยม
เริ่มจาก “แม่” ของอ๊อกกี้ที่ยอมทิ้งงานวิทยานิพนธ์ของตัวเอง ทำทุกอย่างเพื่อดูแลและทุ่มเทให้ลูกแบบจัดเต็ม โดยจัดทำ Home School ให้ลูกราว 5 ปี ก่อนจะส่งลูกเข้าสู่รั้วโรงเรียน และเธอเริ่มมีเวลาของตัวเองในการทำสิ่งที่เธอรักได้สำเร็จ แต่ก็มีจุดสะท้อนให้เห็นว่าความทุ่มเทให้กับลูกชายคนเล็ก โดยหารู้ไม่ว่าลูกสาวคนโตน้อยใจแม่อยู่
“พ่อ” ของอ๊อกกี้ที่รับบทเป็นผู้คอยส่งกำลังใจให้ทุกคนในครอบครัว เป็นคนอารมณ์ดี อบอุ่นที่พร้อมจะสนับสนุนแม่ในทุกเรื่อง และคอยเติมเต็มบางสิ่งให้ลูก 2 คนที่บางครั้งโดนเข้มงวดจากแม่มากเกินไป
“พี่สาว” ของอ๊อกกี้ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น รักน้องเป็นชีวิตจิตใจ แต่ก็อดน้อยใจแม่ไม่ได้ที่สนใจแต่น้องชายคนเดียว เป็นมุมมองของเด็กวัยรุ่นที่ให้ความสำคัญกับเพื่อน แต่เมื่อมีปัญหากับเพื่อน ซึ่งเพื่อนเองก็มีปัญหาเพราะครอบครัวแตกแยก แต่เวียไม่รู้มาก่อนจึงต้องบาดหมางกันไป ประกอบกับรู้สึกน้อยใจครอบครัวที่สนใจแต่น้องชาย ก็ทำให้เกิดอาการโดดเดี่ยวและแปลกแยก แต่โชคดีที่ได้เจอเพื่อนชายคนใหม่ที่พร้อมรับฟังเรื่องราวของเธอเป็นอย่างดี ซึ่งในชีวิตจริงมีเด็กวัยรุ่นจำนวนมากที่ไม่ได้โชคดีอย่างเธอ และเลือกหนทางชีวิตที่มีโอกาสผิดพลาดได้
“เดซี่” สุนัขของครอบครัวอ๊อกกี้ เป็นเสน่ห์ของภาพยนตร์ที่ทำให้เดซี่เปรียบเสมือนสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว ที่ช่วยให้พวกเขาผ่านเวลาที่ยากลำบากไปได้ และเป็นเหมือนศูนย์รวมจิตใจของทุกคนในครอบครัว
รวมไปถึงเพื่อนของอ๊อกกี้ที่โรงเรียนที่มีหลากหลาย มีพฤติกรรมที่ดีและไม่ดี แต่ภาพยนตร์ก็ไม่ลืมที่จะใส่เรื่องราวของที่มาของเด็กเหล่านั้นว่าอะไรทำให้พวกเขามีพฤติกรรมเหล่านั้น
เพื่อนที่ชอบรังแกอ๊อกกี้ แท้จริงแล้วเขาก็ถูกพ่อแม่รังแกเช่นกัน แต่เป็นการรังแกแบบคนรวยที่มีฐานะการเงินดี บริจาคเงินให้โรงเรียน และถูกตามใจมาโดยตลอด เข้าข่ายประเภทลูกข้าใครอย่าแตะ จนกระทั่งลูกมีนิสัยเสียและชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่า แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็จบลง เพราะโรงเรียนมองว่าเรื่องการรังแกกันเป็นเรื่องใหญ่ จนในที่สุดหนังก็มีจุดที่ทำให้เด็กคนนี้สำนึกได้ แต่พ่อแม่ต่างหากที่ไม่ยอมรับว่าลูกผิด และจบปัญหาให้ลูกลาออกจากโรงเรียน แล้วย้ายที่ใหม่
ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ก็มีเรื่องราวที่สะท้อนว่าครอบครัวเลี้ยงดูพวกเขาอย่างไร และเขาจะมีวิธีในการคบหากับเพื่อนที่มีหน้าตาแปลกประหลาด แต่เมื่อมองข้ามเปลือกภายนอกแล้ว เขาได้ค้นพบจิตใจที่กล้าหาญและงดงามจากด้านในของอ๊อกกี้ จนกลายเป็นเพื่อนรักกันในที่สุด
ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเป็นพ่อแม่ที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง เป็นภาพยนตร์ที่ใส่ใจรายละเอียดความเป็นจริงของการดำเนินชีวิต ที่สามารถสะท้อนการเลี้ยงดูลูกของเราได้อย่างน่าสนใจ
เด็กบางคนที่ดูเข้มแข็งที่สุด อาจปิดบังด้านอ่อนแออยู่ เก็บซ่อนเอาไว้ไม่อยากให้รู้ และพ่อแม่ก็ไม่เคยสังเกต หรือบางครั้งเด็กที่ดูอ่อนแอที่สุด พ่อแม่ทุ่มสุดตัวและหัวใจ แต่เขาอาจจะเข้มแข็งกว่าที่เราคิด
.ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงการเจริญเติบโตทางจิตใจของผู้คนได้อย่างดีเยี่ยม
แต่เหนือสิ่งอื่นใด เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเลี้ยงดูของพ่อแม่ด้วยว่าเลี้ยงดูลูกแบบไหนก็จะได้ลูกแบบนั้น เป็น WONDER “มหัศจรรย์แห่งการเลี้ยงดู” อย่างแท้จริง