คณะอนุฯ สร้างเสริมภูมิคุ้มกันเตรียมประชุมทบทวนข้อมูล “วัคซีนไข้เลือดออก” มาใช้ป้องกันควบคุมโรคในไทย หลัง สธ. ฟิลิปปินส์ ระงับให้บริการฉีดใน นร. กรมควบคุมโรคย้ำหากเคยเป็นแล้ว วัคซีนจะช่วยลดความรุนแรงของโรค หากไม่อน่ใจให้ปรึกษาแพทย์ ย้ำมาตรการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยังต้องทำ
วันนี้ (5 ธ.ค.) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวถึงกรณีข่าวกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ประเทศฟิลิปปินส์ ระงับการให้บริการวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกในนักเรียนชั่วคราว ว่า จากการติดตามข้อมูลดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และต้องมีการพิจารณาข้อมูลต่างๆ อย่างถี่ถ้วนและรอบคอบ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ทบทวนข้อมูลเพื่อการพิจารณานำวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกมาใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันควบคุมโรคในประเทศไทย
นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า สำหรับวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก เป็นวัคซีนที่ทำจากเชื้อไวรัสมีชีวิตที่ทำให้อ่อนฤทธิ์ ประกอบด้วย เชื้อไวรัส 4 สายพันธุ์ สามารถป้องกันการป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกได้ร้อยละ 65 อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพในการป้องกันไข้เลือดออกจะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสไข้เลือดออก ประวัติการติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อนหน้าที่จะได้รับวัคซีน และอายุของผู้ได้รับวัคซีน ทั้งนี้ วัคซีนป้องกันไข้เลือดออกนี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนในประเทศไทย เมื่อ 30 กันยายน 2559 โดยผ่านการพิจารณาและการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ปัจจุบันวัคซีนนี้ยังไม่ได้บรรจุในรายการวัคซีนพื้นฐานที่ภาครัฐให้บริการแก่ประชาชน เนื่องจากยังมีข้อจำกัดบางประการในการป้องกันไข้เลือดออก จำเป็นต้องพิจารณาจากข้อมูลทางระบาดวิทยา การประเมินผลกระทบทางสาธารณสุข ความคุ้มค่าในการนำวัคซีนมาใช้เพื่อลดอัตราป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาลและลดค่าใช้จ่าย ความสามารถในการเข้าถึงวัคซีน และงบประมาณ
นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า ขณะนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) อยู่ระหว่างเตรียมประชุมผู้เชี่ยวชาญเพื่อหารือเกี่ยวกับข้อแนะนำเรื่องวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกให้เหมาะสม และในระหว่างที่ยังรอให้ถึงกำหนดการประชุม นั้น กรมควบคุมโรค ขอแนะนำว่า ในคนที่มีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไข้เลือดออกตามธรรมชาติมาก่อนแล้ว หากฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกจะสามารถป้องกันการเกิดโรคที่รุนแรงและป้องกันการนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลได้ แต่สำหรับคนที่ไม่ทราบว่าตนเองเคยติดเชื้อมาก่อนหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจรับวัคซีน เพื่อให้แพทย์พิจารณาความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกที่อาจเกิดขึ้นภายหลังการได้รับวัคซีน ซึ่งต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไป
“แม้ว่าขณะนี้ ประเทศไทยเริ่มมีการให้บริการวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกในสถานพยาบาลโดยเฉพาะในภาคเอกชน แต่การใช้วัคซีนเป็นเพียงมาตรการหนึ่งในการควบคุมโรค ซึ่งต้องทำควบคู่ไปกับมาตรการควบคุมยุงพาหะ การเฝ้าระวังโรค และการดูแลรักษาผู้ป่วยด้วย ประชาชนยังต้องดูแลและป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด และร่วมกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โดยเริ่มจากบ้านของตนเอง ชุมชน และสถานที่สาธารณะต่างๆ” อธิบดี คร. กล่าว
นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า ขอให้เน้นมาตรการ “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” คือ 1. เก็บบ้านให้สะอาด โปร่ง โล่ง ไม่ให้มีมุมอับทึบ เป็นที่เกาะพักของยุง 2. เก็บขยะ เศษภาชนะรอบบ้าน โดยทำต่อเนื่องสัปดาห์ละครั้ง ไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง และ 3. เก็บน้ำ สำรวจภาชนะใส่น้ำ ต้องปิดฝาให้มิดชิด ป้องกันยุงลายไปวางไข่ เพื่อป้องกัน 3 โรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และ โรคไข้ปวดข้อยุงลาย รวมทั้งกำจัดและควบคุมยุงตัวแก่ เช่น การพ่นสารเคมีกำจัดยุงลาย และการป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด เช่น ทายากันยุง ใช้ไม้ช็อตไฟฟ้า จุดสมุนไพรหรือยาจุดไล่ยุง หรือใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น ประชาชนสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422