xs
xsm
sm
md
lg

3 เดือนรู้ผล วิจัย “สูตรสมุนไพร” แจกฟรีปราจีนบุรี ฆ่าเซลล์มะเร็งได้หรือไม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


กรมแพทย์แผนไทยร่วม “แสงชัย” วิจัย “สูตรสมุนไพร” ที่แจกช่วยผู้ป่วยมะเร็งมานานกว่า 12 ปี ฆ่าเซลล์มะเร็งได้หรือไม่ ให้ผลมะเร็งชนิดไหน ระยะเท่าไร หากได้ผลดี เตรียมวิจัยต่อเป็นยา ทั้งขนาดโดส วิธีกิน ด้านแสงชัยยื่นขอเป็นหมอพื้นบ้าน

จากกรณี นายแสงชัย แหเลิศตระกูล มีการแจกแคปซูลสมุนไพรเพื่อช่วยผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ จ.ปราจีนบุรี ทุกๆ ต้นเดือน ทำให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มีการตรวจสอบถึงความปลอดภัย ซึ่งที่ผ่านมา ยังไม่พบอันตราย ทำให้คำถามและข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่า สมุนไพรดังกล่าวช่วยรักษาโรคมะเร็งได้จริงหรือไม่ มีความปลอดภัยมากน้อยเพียงใด และจะดำเนินการอย่างไรให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด

วันนี้ (29 พ.ย.) เมื่อเวลา 11.30 น. นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก พร้อมด้วย นายแสงชัย แหเลิศตระกูล เจ้าของตำรับแคปซูลสมุนไพรช่วยผู้ป่วยโรคมะเร็ง ร่วมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงความร่วมมือที่จะเกิดขึ้น โดย นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า การแจกสมุนไพรดังกล่าวแก่ผู้ป่วยมะเร็งที่สิ้นหวังในระยะสุดท้ายของคุณแสงชัย ทำให้ผู้ป่วยเหล่านี้มีความหวังและกำลังใจในการต่อสู้กับโรคมะเร็ง กรมแพทย์แผนไทยฯ ในฐานะกรมวิชาการ เห็นว่า อาจเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อสังคม กรมฯ จึงร่วมกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี และ คุณแสงชัย ในการร่วมมือทำวิจัยตำรับสมุนไพรดังกล่าวเพื่อให้เกิดความชัดเจน อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่า ผู้ป่วยมะเร็งจะต้องตรวจวินิจฉัยจากแพทย์แผนปัจจุบันก่อน การรักษาก็ยังต้องอิงตามแพทย์แผนปัจจุบัน ส่วนแพทย์แผนไทยจะเป็นทางเลือกคู่ขนาน ซึ่งการรักษาโรคต่างๆ สามารถรักษาร่วมกันระหว่างแพทย์แผนไทยและแพทย์แผนปัจจุบัน
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
นพ.ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ กล่าวว่า การวิจัยจะมีทั้งหมด 2 ระยะ โดยระยะแรกใช้เวลาประมาณ 3 เดือน โดยกรมการแพทย์แผนไทยฯ จะวิจัยในกลุ่มผู้รับยา ซึ่งมีประมาณ 5 - 6 พันคนต่อเดือน โดยมีความร่วมมือกับ สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง (สภ.อ.) ปราจีนบุรี ในการอำนวยความสะดวก เพื่อเก็บข้อมูลผู้มารับยา ซึ่งจะศึกษาขั้นต่ำที่ 2 พันคน โดยพิจารณาว่าเป็นมะเร็งชนิดไหน ระยะเท่าไร และมีการตรวจสอบข้อมูลกับสถาบันมะเร็งแห่งชาติ และดูว่ารับยามานานเท่าไร ให้ผลเป็นอย่างไร ก็จะมาศึกษาตรงนี้ ส่วนกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จะตรวจสอบความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ เช่น สเตียรอยด์ การปนเปื้อนของแบคทีเรีย และตรวจหาสารสำคัญของสมุนไพร

นพ.ปราโมทย์ กล่าวว่า ขณะที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ จะดำเนินการวิจัยสมุนไพรว่ามีผลต่อเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองอย่างไร มีผลต่อเซลล์มะเร็งประเภทไหน ระยะเท่าไร ส่วนการวิจัยในระยะที่สองคือ หากผลการทดลองออกมาดี ก็จะมาวิจัยต่อถึงขนาดของสมุนไพรที่ควรได้รับ และวิธีในการกินต่างๆ เพื่อให้มีความปลอดภัย คือ นำไปสู่การพัฒนามาตรฐานวัตถุดิบและยาสำเร็จของตำรับต่อไป คาดว่าหากถึงขั้นนี้จะใช้เวลาประมาณ 1 ปี สำหรับการไปเก็บข้อมูลคงไม่ไปรบกวนกระบวนการในการแจกจ่ายสมุนไพรดังกล่าว แต่จะเพิ่มการให้ความรู้ประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มารับยาที่ไม่ไปรักษากับแพทย์แผนปัจจุบัน ทั้งที่ยังคงรักษาได้ เป็นต้น
นางแสงชัย แหเลิศตระกูล
นายแสงชัย กล่าวว่า ขอขอบคุณกรมการแพทย์แผนไทยฯ ที่ให้โอกาสนำตำรับสมุนไพรนี้มาวิจัยร่วม เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ซึ่งจริงๆ แล้วมีบริษัทยาต่างประเทศ เช่น จีนญี่ปุ่น มาขอให้ผลิตให้ แต่หากตำรับสมุนไพรมีผลดีจริง ก็อยากให้เป็นสมบัติของชาติในการดูแลคนไทยมากกว่า ทั้งนี้ ที่ผ่านมาได้จ่ายสมุนไพรให้กับกลุ่มที่หมดหนทางในการรักษากับแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว แต่ขณะนี้คนเริ่มมามากขึ้น โดยคนที่ยังเป็นไม่มากก็มาขอรับยา ซึ่งในกลุ่มคนที่ยังเป็นไม่มาก ก็อยากให้รักษากับแพทย์แผนปัจจุบันก่อน เพราะในระยะแรกก็สามารถรักษาหายได้ด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน ส่วนวันที่ 3 ธ.ค.นี้ที่จะมีการแจกสมุนไพรอาจมีคนมากถึงประมาณ 10,000 คน ซึ่งจะมีการปรับกระบวนการในการแจกสมุนไพร จากเดิมสแกนบัตรประชาชนในเวลา 02.00 น. แล้วให้คูปองมารับสมุนไพรในเวลา 10.00 น. แต่จะเปลี่ยนเป็นสแกนบัตรรับคูปองและสมุนไพรเลย ซึ่งจะมีการประเมินว่าแบบไหนจะสะดวกต่อประชาชนที่สุด

เมื่อถามว่าจากการแจกสมุนไพรมา 12 ปี เคยเก็บข้อมูลหรือไม่ผู้ป่วยที่มามีอาการดีขึ้นหรือไม่ นายแสงชัย กล่าวว่า เนื่องจากตนไม่ใช่แพทย์ จึงไม่สามารถเก็บข้อมูลประวัติผู้ป่วยได้ แต่จากประสบการณ์ การสังเกตจากใบค่าตรวจเลือด และสุขภาพของผู้ป่วยด้วยสายตา ก็พบว่า ส่วนใหญ่ผู้ที่เป็นมะเร็งทั้งมดลูก รังไข่ และ เต้านม ก็ดูได้ผลดี สำหรับตัวผลิตภัณฑ์สมุนไพร มีส่วนประกอบจากน้ำมันรำข้าวที่ได้จากการสีครั้งแรก ข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ และ พิลังกาสา โดยใช้ทุนของตัวเองร่วมกับการได้รับสมุนไพรมาฟรีๆ จากชาวบ้าน ส่วนกระบวนการผลิตนั้นมีห้องผลิตอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณี นายแสงชัย จำเป็นต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานการผลิตสมุนไพรหรือไม่ และต้องขึ้นทะเบียนเป็นหมอพื้นบ้านหรือไม่ นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ปัจจุบันกฎหมายมีเพียง อาหารและยา ซึ่งอาหารหรืออาหารเสริมไม่สามารถบอกสรรพคุณ แต่ยาต้องมีสรรพคุณ มีสารสำคัญ การออกฤทธิ์ ผ่านการวิจัยทดลองทั้งในหนู ในคน จนกว่าจะเป็นยา แต่สมุนไพรเป็นสารกึ่งยา ไม่ใช่ทั้งอาหารและยา จึงต้องมีกฎหมายเฉพาะในการขึ้นทะเบียน ขณะนี้กรมฯ ได้ผลักดัน พ.ร.บ. ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. ... ซึ่งจะครอบคลุมเรื่องของการผลิต การขึ้นทะเบียน ซึ่งคงไม่ต้องมีการทดลองถึงขั้นยา แต่สามารถบอกสรรพคุณได้มากกว่าอาหาร ส่วนการโฆษณาก็ต้องมีการคุ้มครองผู้บริโภค โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา

นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ส่วนการขึ้นทะเบียนเป็นหมอพื้นบ้านนั้น คุณแสงชัยได้ส่งเรื่องเข้ามาขอขึ้นทะเบียนเช่นกัน โดยกรมฯ อยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดและเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งการจะเป็นหมอพื้นบ้านต้องได้รับหนังสือรับรองหมอพื้นบ้าน หรือเป็นผู้ที่มีบทบาทในการดูแลชาวบ้านในชุมชน ซึ่งอาจไม่มีใบประกอบโรคศิลปะแต่ต้องผ่านการรับรองจากกรมฯ ก่อน โดยหลักเกณฑ์คัดกรองหมอพื้นบ้าน คือ 1. มีผู้มารับบริการสม่ำเสมอต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 10 ปี พิจารณาตามความชำนาญเฉพาะของหมอพื้นบ้าน เช่น หมองู หมอกวาดยาเด็ก หมอกระดูก ซึ่งความรู้จะไม่ได้ครอบคลุมแบบแพทย์แผนไทยที่ดูแลได้ทุกส่วนของร่างกาย 2. สืบทอดความรู้จากบรรพบุรุษหรือท้องถิ่น 3. มีความสามารถในการบำบัดรักษาโรค 4. ไม่หวงวิชา 5. มีการถ่ายทอดความรู้ 6. ไม่เรียกร้องค่ารักษามากเกินควร 7. เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับจากคนในชุมชน และ 8. มีคุณธรรม
กำลังโหลดความคิดเห็น