สพฉ. แนะวิธีช่วยเหลือผู้เข้าร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ หากพบอาการเป็นลมหมดสติ ด้านกรมสุขภาพจิตแนะวิธีช่วยหากพบคนร้องไห้ โศกเศร้าอย่างรุนแรง
ร.อ.นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า กองอำนวยการร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร (กอร.พระราชพิธีฯ) จะเปิดให้ประชาชนเข้าพื้นที่รอบสนามหลวงตั้งแต่เวลา 05.00 น. ของวันที่ 25 ต.ค. 2560 ซึ่งจะมีประชาชนไปร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก อาจจะมีภาวะเจ็บป่วยฉุกเฉิน โดยเฉพาะอาการเป็นลม ซึ่งพบได้บ่อย โดยเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากสภาพแวดล้อม เช่น ความร้อน หรือจากสภาพร่างกาย เช่น โรคประจำตัว การพักผ่อนไม่เพียงพอ ขาดน้ำ อดอาหาร หรือเกิดจากภาวะทางจิตใจ เช่น ตกใจ เสียใจ จนทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ เป็นต้น
“หากประชาชนเริ่มมีอาการดังต่อไปนี้ คือ รู้สึกหน้ามืด เวียนศีรษะตาลาย ใจสั่น คลื่นไส้ เหงื่อแตก หายใจติดขัด ให้รีบแจ้งผู้ที่อยู่ใกล้ทันที สำหรับการสังเกตอาการ หากประชาชนพบว่า ผู้ที่อยู่ใกล้เรา มีอาการหน้าซีด ตัวเย็น เหงื่อแตก การพูด การรับรู้สติเปลี่ยนไป ให้รีบแจ้งหน่วยปฐมพยาบาลที่อยู่ใกล้เคียง นำเข้าที่ร่มอากาศถ่ายเท นอนหนุนขาสูง คลายเสื้อผ้าให้หลวม เมื่อรู้สึกตัวให้ผู้ป่วยจิบน้ำหวาน หากผู้ป่วยหมดสติไม่หายใจ ให้รีบทำการปั๊มหัวใจทันที ทั้งนี้ อยากให้ประชาชนที่จะเดินทางเข้าร่วมในพระราชพิธีฯ เตรียมร่างกายให้พร้อม ดื่มน้ำบ่อย ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ และแนะนำให้พกยาดม และลูกอมที่มีรสหวาน ติดตัวสำหรับตนเองและคนข้างเคียง รวมถึงสิ่งที่จำเป็น เช่น ยารักษาโรคประจำตัว บัตรประจำตัวผู้ป่วย เป็นต้น” ร.อ.นพ.อัจฉริยะ กล่าว
ด้าน น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ในวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ความรู้สึกโศกเศร้า เสียใจ คิดถึง หรือระลึกถึงพระองค์ย่อมมีเพิ่มมากขึ้น ขอย้ำว่า เป็นปฏิกิริยาปกติทางจิตใจที่เกิดขึ้นได้ในผู้ที่มีความรู้สึกสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก หรือ ยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น และหมดไปในช่วง 6 - 8 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม การปรับตัวต่อการสูญเสียเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลที่จะต้องจัดการและก้าวผ่านความทุกข์โศกของตนเองไปให้ได้ และการปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงความรู้สึกโศกเศร้า จะทำให้กระบวนการโศกเศร้านั้นยาวนานยิ่งขึ้นได้
“ภาวะสุขภาพจิตที่อาจเกิดขึ้นได้อีกในช่วงวันพระราชพิธีฯ ได้แก่ ปฏิกิริยาความโศกเศร้ารุนแรงที่แสดงออกในฝูงชน การร้องไห้ คร่ำครวญ กรีดร้อง ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ หรือมีภาวะหายใจเร็ว เกิดอาการมือจีบ ตัวเกร็ง เป็นลม จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที การเตรียมกายเตรียมใจให้พร้อมในช่วงเวลานี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม เราทุกคนสามารถช่วยดูแลใจกันและกันได้ โดยหากพบคนรอบข้างที่เข้าร่วมในงานพระราชพิธีฯ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค หรือที่อาจไม่สามารถเดินทางเข้าร่วมงานด้วยได้ มีอาการร้องไห้ฟูมฟาย แยกตัวอยู่คนเดียว เพ้อ ซึมเศร้า เหม่อลอย หรือเอะอะโวยวาย ให้ใส่ใจ รับฟัง พูดคุยกับเขา ปลอบประโลมเขา สัมผัสให้เขารู้สึกว่ามีคนเข้าใจ มีคนให้กำลังใจ ถ้ายังไม่ดีขึ้น เช่น ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ โศกเศร้ารุนแรง มีความคิดฆ่าตัวตาย ให้ขอความช่วยเหลือจากหน่วยแพทย์ พยาบาลเคลื่อนที่ ทีม MCATT จิตอาสาทูบีนัมเบอร์วัน หรือ สายด่วนสุขภาพจิต1323 เป็นต้น” อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว
น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า พสกนิกรชาวไทยทุกคนล้วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อย่างหาที่สุดมิได้ และทุกคนต่างรู้สึกโศกเศร้าเสียใจไม่ต่างกัน แต่อยากขอให้ทุกคนมีสติรู้เท่าทัน ทำจิตใจให้เข้มแข็งเพื่อเป็นกำลังใจให้กับคนอื่นๆ รอบข้าง ซึ่งหากเรามีจิตใจที่เข้มแข็งแล้ว เราย่อมมีพลังด้านบวกที่พร้อมจะช่วยเหลือคนอื่นๆ ให้ก้าวผ่านความโศกเศร้าอันใหญ่หลวงครั้งนี้ไปได้ ดังพระราชดำรัส “…ความสุขความเจริญนี้ แม้เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาอย่างยิ่ง แต่ในวิถีชีวิตของคนเรานั้น ย่อมต้องมีทั้งสุขและทุกข์ ทั้งความสมหวังและผิดหวังเป็นปรกติธรรมดา ทุกคนจึงต้องเตรียมตัว เตรียมใจ และเตรียมกายให้พร้อม อย่าประมาท ...จึงขอให้ท่านทั้งหลายได้รักษาและสร้างเสริมสุขภาพของตนให้สมบูรณ์ ให้มีกำลังกายที่แข็งแรง มีกำลังใจที่เข้มแข็งหนักแน่น และมีสติรู้เท่าทันอยู่เสมอ จักได้สามารถนำพาตนให้ผ่านพ้นสถานการณ์ต่างๆ อันไม่พึงประสงค์ จนบรรลุถึงความสุขความเจริญ และความสำเร็จได้ ดั่งที่ตั้งใจปรารถนา…”
“เพราะความสุขของพระองค์ คือ อยากเห็นคนไทยมีความสุข จึงขอเชิญชวนพี่น้องคนไทยร่วมกันน้อมนำพระราชดำรัส มาเป็นสิ่งเตือนใจในทุกขณะของการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ เพื่อให้เกิดความหวังและกำลังใจที่ดี ที่จะช่วยก้าวผ่านความโศกเศร้า พร้อมนำพาประเทศชาติก้าวไปข้างหน้าร่วมกัน สมดังพระราชปณิธานของพระองค์” อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว