xs
xsm
sm
md
lg

หนานจิง-เซี่ยงไฮ้ : สองเมืองสองมุมแต่สะท้อนจีนเดียว/สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ครบ 1 เดือนพอดี ที่ลูกชายทั้ง 2 คน เดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศจีน เจ้าลูกชายคนเล็กเดินทางไปเป็นปีแรก โชคดีที่มีพี่ชายนำทางจึงทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องการปรับตัวนัก

ในขณะที่เจ้าลูกชายคนโต “สรวง สิทธิสมาน” เดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศจีน เป็นปีที่ 2 ต่างกันตรงที่ปีที่แล้วอยู่ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ แต่ปีนี้ต้องมาอยู่ที่หนานจิง ก่อนจะกลับไปเซี่ยงไฮ้ปีหน้า ถือเป็นกำไรชีวิตที่ได้ใช้ชีวิตเสริมประสบการณ์ในประเทศจีนถึง 2 เมือง ทำให้เขาได้สัมผัสวิถีชีวิตที่แตกต่างของ 2 เมืองนี้ และนำมาถ่ายทอดผ่านบทความชิ้นนี้แทนแม่อีกครั้ง

..................................

หนีห่าว.....
และแล้ว...วันนี้...ก็ครบ 30 วันแล้วที่ผมได้เข้าสู่ปีที่ 2 ของการเรียนและการใช้ชีวิตในประเทศจีน

ในปีที่แล้วผมได้มีประสบการณ์ใช้ชีวิตในจีนมาก่อน ณ มหานครเซี่ยงไฮ้ แต่ในปีนี้ ตามระบบของทุนการศึกษาที่ได้กำหนดเอาไว้ทำให้ผมจำเป็นต้องย้ายมาเรียนที่มหานครหนานจิง หรือที่คนไทยรู้จักกันในนามว่า “นานกิง” มณฑลเจียงซู ทางชายฝั่งทิศตะวันออกของประเทศจีน เป็นเวลา 1 ปีก่อนจะกลับไปเรียนชั้นปริญญาตรีที่มหานครเซี่ยงไฮ้ในปีการศึกษาหน้า ประเด็นนี้ผมเองก็เพิ่งรู้ก่อนเดินทางมาไม่นานนัก

หนานจิง(南京市) ชื่อนี้มีความหมายว่า “นครหลวงทางใต้” ซึ่งหนานจิงก็เป็นหนึ่งในเมืองหลวงเก่าของประเทศจีนจริงๆ ก่อนหน้าเมืองหลวงของจีนในปัจจุบันนี้คือมหานครปักกิ่งนั่นเอง เป็นเมืองที่ผ่านเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์มาหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นบ้านเกิดของผู้นำการปฏิวัติล้มล้างจักพรรดิราชวงศ์ชิง อย่าง ดร.ซุนจงซาน หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม ดร.ซุนยัดเซ็น และเป็นเมืองหลวงของจีนในยุคพรรคก๊กมินตั๋ง หรือ จีนคณะชาติ ผู้นำระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเข้ามาสู่ประเทศจีน

นอกจากนี้ อีกเหตุการณ์ที่สำคัญมากและทำให้หนานจิงเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ก็คือ การสังหารหมู่คนจีนที่หนานจิงในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่น

ผมเดินทางมาถึงที่นี่เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2017 วันนี้จึงเป็นวันครบรอบ 1 เดือนเต็ม พอจะกล่าวได้ว่าปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้แล้ว ทั้งการใช้ชีวิตทั่วไป การเรียน และยังพอมีโอกาสได้ท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ ที่มีชื่อเสียงในเมืองหนานจิงบ้างแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสถานที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ รวมทั้งแสดงวิธีคิดและวัฒนธรรมที่ถูกสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งแตกต่างกันพอสมควรกับเมืองที่ผมเคยเรียนและใช้ชีวิตอยู่เมื่อปีที่ผ่านมาอย่างเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศจีน

เซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นมหานครที่ใหญ่ที่สุดทางตะวันออกของประเทศจีน เป็นเมืองที่เศรษฐกิจเจริญเป็นอันดับ 1 ของจีน และอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกอีกด้วย นอกจากความเจริญของเศรษฐกิจแล้ว เซี่ยงไฮ้ยังเป็นเมืองที่ค่อนข้างสะดวกสบาย ทั้งในด้านของการเดินทาง และ สุขอนามัย นอกจากนี้ ยังเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เพราะนอกจากจะเป็นเมืองในฝันของที่คนจีนจากต่างมณฑลเข้ามาทำมาหากินก่อร่างสร้างตั และหาโอกาสประสบความความสำเร็จแล้ว ยังเป็นเมืองที่ชาวต่างชาตินิยมเข้ามาลงทุนและร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัทใหญ่ในประเทศจีน ทำให้ชาวต่างชาติส่วนใหญ่โดยเฉพาะประเทศตะวันตกที่เรารู้จักมักคุ้นที่สนใจในภาษาจีน และต้องการจะมาเรียนต่อและหาประสบการณ์ในประเทศจีนมักเลือกไปที่นั่น เซี่ยงไฮ้จึงกลายเป็นเมืองที่ก้าวหน้า ทั้งทางด้านความคิดของผู้คน การศึกษา ตึกรามบ้านเรือนที่ทันสมัย และฐานะของผู้คน

หนานจิงแม้จะมีชาวต่างชาติมาเรียนไม่น้อยเช่นกัน แต่ความแตกต่างแรกที่เห็นได้ชัดเลยคือที่นี่ไม่ค่อยจะมีผู้ที่มาจากประเทศตะวันตกที่เราคุ้นกันดี ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มาจากประเทศที่ลงท้ายด้วย “...สถาน” ทั้งหลาย หากเป็นยุโรปก็มักจะเป็นประเทศในค่ายสังคมนิยมเก่าทั้งหลาย ส่วนเอเชียนั้น แม้ชาวเกาหลีจะมีพอสมควร แต่ชาวลาวเพื่อนบ้านของไทยดูจะมีมากเป็นพิเศษ

แน่นอน นักเรียนญี่ปุ่นนั้นมีค่อนข้างน้อย จะเป็นเพราะเหตุผลทางประวัติศาสตร์หรือไม่ ผมยังไม่อาจสรุปได้

แต่ในแง่ของการเรียนนั้น หนานจิงเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของการศึกษาด้านภาษาจีน โดยเฉพาะการทดสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาจีนที่เรียกว่า HSK นักเรียนต่างชาติที่จะมาเรียนชั้นปริญญาตรีในภูมิภาคนี้ของจีนไม่ว่าจะมหาวิทยาลัยไหนเมืองอะไร หากระดับความสามารถทางภาษาจีนไม่ถึงระดับ 4 หรือ 5 จะต้องมาผ่านการปรับพื้นฐานที่นี่ก่อน และจะต้องผ่านการทดสอบหลากหลาย เพื่อให้สามารถเรียนชั้นปริญญาตรีเป็นภาษาจีนได้อย่างมืออาชีพ เพื่อการนี้จึงต้องแลกมาด้วยการเรียนการสอนที่เคร่งครัดมีกฎเกณฑ์

จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า เซียงไฮ้กับหนานจิงมีความแตกต่างกันมากขนาดไหน มหานครเซี่ยงไฮ้ที่ผมเคยอยู่เป็นเมืองที่ก้าวหน้าและจะเจริญยิ่งกว่านี้ขึ้นไปอีกในอนาคต แต่มหานครหนานจิงคือเมืองที่เป็นมรดกโลกมรดกของประเทศจีน เป็นอนุสรณ์ให้ระลึกถึงบรรพชนที่ร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์และสร้างประเทศกันมา

แปลกที่โชคชะตาดลบันดาลให้ผมต้องเป็นคนที่ได้มาใช้ชีวิตในเมืองที่แตกต่างกันทั้งสอง ทั้งเซี่ยงไฮ้ และหนานจิง

ความแตกต่างนอกจากประวัติศาสตร์แล้ว เฉพาะหน้าที่พอจะมองเห็นได้ชัดคืออุปนิสัยของผู้คนและระบบการศึกษาสำหรับชาวต่างชาติ

ความแตกต่างทางอุปนิสัยของคนทั้ง 2 เมืองที่เห็นได้ชัดนั้น ก็คือ การพูดจา และความเป็นมิตร ในเมืองหนานจิงแห่งนี้ผู้คนพูดจาเป็นมิตรกว่าคนที่เซี่ยงไฮ้ค่อนข้างมาก เนื่องคนที่เซี่ยงไฮ้มักจะทำงานด้วยความเร่งรีบ อีกทั้งยังอยู่ในสภาวะกดดัน เพราะเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่มีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง ทำให้การทำงานเป็นไปด้วยความตึงเครียด ส่งผลต่ออารมณ์และการพูดจาของคนในเมือง อาจจะคล้ายๆ ฮ่องกง หรือ นิวยอร์ก ละกระมัง

ในด้านของการศึกษา มิอาจปฏิเสธได้เลยว่าผมสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้มากกว่าในเมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งส่วนที่ได้มากกว่านั้นจะเป็น “ความรู้นอกห้องเรียน” ความเป็นเมืองที่คึกคัก ผู้คนต่างพูดคุยทำความรู้จักเสมอ ทำให้ผมได้พูดคุย รู้จัก และผูกมิตรกับพื่อนๆ มากมายจากนานาประเทศ ทำให้ผมได้รู้สึกเปิดโลกกว้าง เป็นการศึกษาที่เน้นไปทางการเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นส่วนใหญ่ กฎเกณฑ์ข้อบังคับต่างๆ จึงค่อนข้างน้อย แตกต่างกับที่หนานจิง มีกฏเกณฑ์ต่อนักศึกษามาก ทำให้จำเป็นที่จะต้องก้มหน้าก้มตาตั้งใจเรียน เพราะหากสอบไม่ผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนด หรือขาดเรียนโดยไร้เหตุผล อาจทำให้ถูกตัดทุนการศึกษาได้เลยทีเดียว

ระบบของแต่ละมหาวิทยาลัยก็แตกต่างกันไป ที่เซี่ยงไฮ้เราหอพักมีที่นอนและหมอนให้ แต่ที่หนานจิงนี่เป็นธรรมเนียมว่าเขาให้แต่เตียง เราต้องไปหาซื้อที่นอน หมอน ผ้าห่ม เอาเอง พอดีเมื่อเดือนที่แล้วที่ผมมาถึงเป็นช่วงค่ำ จึงไม่อาจนอนในหอได้ทันที ต้องไปเสียสตางค์นอนโรงแรมในมหาวิทยาลัยก่อน 1 คืน

แต่ก็ชดเชยด้วยเรื่องค่าครองชีพ หนานจิงนี้มีค่าครองชีพที่ต่ำกว่าเซี่ยงไฮ้ค่อนข้างมาก อาหารจีนอร่อย ๆ บรรยากาศดูดีหลายๆ ร้าน ที่เข้าไปรับประทานกันช่วงคุณพ่อคุณแม่มาส่ง เทียบราคาแล้วถูกกว่าที่เมืองไทยเสียอีก

ส่วนเรื่องของความสะดวกสบาย แน่นอนว่า เซี่ยงไฮ้ที่เป็นมหานครศูนย์กลางเศรษฐกิจย่อมจะต้องเหนือกว่า

ที่กล่าวมานี้ไม่ได้หมายความว่าหนานจิงเป็นเมืองที่ด้อยความเจริญ ในส่วนของวัตถุประเภทศูนย์การค้าและที่พักอาศัยก็เจริญไม่แพ้กับที่อื่นๆ ในประเทศจีนเลย และเซี่ยงไฮ้เองก็ไม่ได้เจริญไปเสียทุกซอกทุกมุม นี่เป็นเพียงการมองภาพรวมจากความรู้สึกที่ผมเห็นจากการมาอยู่มี่หนานจิงได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น ผมยังมีเวลาอยูอีกหลายเดือนสำหรับการหาประสบการณ์ที่นี่ และอีกหลายปีในประเทศจีนที่กำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบันนี้

ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีความสำคัญมากที่สุดประเทศหนึ่งในปัจจุบัน และจะยิ่งสำคัญมากขึ้นในอนาคต ประสบการณ์และความรู้ภาษาจีนที่ผมศึกษาอยู่ในวันนี้ คงจะเป็นประโยชน์ในอนาคตอย่างแน่นอน

....จ้ายเจี้ยน....




กำลังโหลดความคิดเห็น