ปัจจุบันเทคโนโลยีและนวัตกรรมมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดยั้ง ซึ่งล้วนส่งผลดีต่อคนไข้ ที่จะได้รับการรักษาที่ประสิทธิภาพและมีคุณภาพมากขึ้น โรงพยาบาลในกลุ่มบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ก็เช่นกัน ที่มีการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆ เข้ามาใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วย เพื่อให้การรักษาเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
สำหรับการรักษาด้านออร์โธปิดิกส์ หรือ ด้านศัลยกรรมกระดูก ซึ่งมีการรักษาทั้งวิธีใช้การผ่าตัดและไม่ผ่าตัด ซึ่ง นายแพทย์ สุทร บวรรัตนเวช ผู้อำนวยการใหญ่ ศูนย์อุบัติเหตุและออร์โธปิดิกส์ ในเครือบริษัท และผู้อำนวยการอาวุโส ศูนย์กระดูกและข้อกรุงเทพ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ได้ชี้แจงว่า หลักการสำคัญในการรักษาผู้ป่วยที่ได้รับการบาดเจ็บในหลายๆ ระบบ รวมถึงกระดูกหักจากอุบัติเหตุ คือ “ความรวดเร็ว” และ “ประสบการณ์” ของแพทย์ในสาขาต่างๆ โดยเฉพาะในผู้ป่วยบางราย สิ่งที่เร่งด่วนที่สุด คือ การช่วยชีวิต ดังนั้น โรงพยาบาลในเครือ BDMS จึงได้มีการจัดตั้งศูนย์อุบัติเหตุ และพัฒนารูปแบบการรักษาแบบ สหสาขาวิชาชีพ ขึ้นมา โดยมีศัลยแพทย์เป็นหัวหน้าทีม และมีผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ เข้ามาร่วมรักษา ไม่ว่าจะเป็นศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ แพทย์ศัลยกรรมทรวงอก แพทย์ศัลยกรรมประสาท และวิสัญญีแพทย์ เป็นต้น เพื่อให้สามารถตรวจวินิจฉัยอาการของผู้ป่วย ทันทีที่มาถึงห้องฉุกเฉิน และทำการผ่าตัดรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยทุกโรงพยาบาลในเครือฯ มีความพร้อมทั้งทีมแพทย์และรถพยาบาล เพื่อสามารถไปที่เกิดเหตุทันทีที่มีการรายงานเข้ามายังศูนย์ ซึ่งมีการติดต่อประสานงานระหว่างทีมแพทย์กับศูนย์กลางระหว่างการเคลื่อนย้าย เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาได้ทันทีเมื่อมาถึงโรงพยาบาล
“ในการรักษานั้นจะมุ่งรักษา สาเหตุที่ส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตเป็นลำดับแรก จากนั้นจะมีการประเมินความบาดเจ็บของผู้ป่วย และปรึกษาทีมแพทย์เชี่ยวชาญ ในการรักษากระดูกหัก หน้าที่ของแพทย์ศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์จะเน้นไปที่การลดการบาดเจ็บ บริเวณที่กระดูกหักและลดอันตรายต่อร่างกายโดยรวม ในกรณีที่ไม่สามารถจะยึดตรึงกระดูกที่ใช้เวลานาน การรักษาด้วยการปักเหล็กดามจากภายนอก ตรึงไม่ให้บริเวณที่กระดูกหักเคลื่อนที่ ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที แล้วส่งผู้ป่วยเข้ารักษาต่อในห้อง ICU ส่งต่อให้แพทย์ด้านอื่นๆ รักษาจนอาการคงที่ จากนั้นจึงรักษาด้วยการผ่าตัดใส่เหล็ก หรือดามกระดูกให้เข้าที่ ซึ่งส่วนใหญ่หากผู้ป่วยกระดูกหักหลายจุดพร้อมกัน จะรักษาขาก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อให้ผู้ป่วยลุกได้เร็ว ตามด้วยแขน และข้อต่างๆ เพราะหากทิ้งไว้นานจะยิ่งรักษายาก” นายแพทย์ สุทร กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่มีการผ่าตัด เช่น การยึดตรึงกระดูกหัก หรือการผ่าตัดเปลี่ยนข้อก็ตาม ในเรื่องของการผ่าตัด ซึ่งฟังดูแล้วดูเป็นเรื่องใหญ่และต้องเจ็บปวดไม่น้อย ในปัจจุบันโรงพยาบาลกลุ่ม BDMS ได้มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยการผ่าตัดให้ทำได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญคือผู้ป่วยมีความเจ็บปวดหลังผ่าตัดน้อย ฟื้นตัวได้เร็ว และได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยเทคนิคในการผ่าตัดกระดูกหักแบบแผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว นายแพทย์ สุทร ได้ยกตัวอย่างเทคนิคในการศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์ที่ใช้ในเครือ BDMS 3 เทคนิค ดังนี้
เทคนิคที่ 1 คือ การผ่าตัดยึดตรึงกระดูกแบบแผลเล็ก (Minimally Invasive Plate Osteosynthesis : MIPO) หรือการผ่าตัดรักษากระดูกหักแบบรถไฟใต้ดิน ทั้งนี้ ที่ผ่านมา การใช้เหล็กแผ่นและสกูรวางบนกระดูก ในอดีตใช้วิธีการเปิดแผลผ่าตัดยาวเท่ากับความยาวของเหล็ก ซึ่งแพทย์สามารถมองเห็นบริเวณกระดูกที่หักได้ชัดเจน แต่การเปิดแผลยิ่งยาวเท่าใดก็จะทำลายเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อต่างๆ มากขึ้นตามไปด้วย จึงเป็นการทำลายเลือดที่มาเลี้ยงโดยเฉพาะในตำแหน่งกระดูกหัก ทำให้โอกาสในการสร้างกระดูกใหม่ลดลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ อุปกรณ์ที่ยึดตรึงกระดูกอาจหัก และกระดูกไม่ติด จึงมีการพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดยึดตรึงกระดูกหักแบบแผลเล็กขึ้น
“เทคนิคดังกล่าวจะเปิดแผลขนาดเล็กบริเวณด้านหัวและท้ายของความยาวเหล็กดาม แผลละประมาณ 5 เซนติเมตร บนของกระดูกที่หัก แล้วจึงใช้อุปกรณ์เฉพาะในการทำทาง เพื่อสอดเหล็กดามใต้ชั้นกล้ามเนื้อผ่านตำแหน่งที่หัก โดยวางเหล็กแผ่นอยู่เหนือผิวกระดูก จากนั้นจึงเปิดแผลเล็กๆ หรือเจาะรูที่ผิวหนัง เพื่อยึดกระดูกด้วยสกรูด้านบนและด้านล่างของตำแหน่งที่หัก โดยพยายามทำให้เกิดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อให้น้อยที่สุด ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องเอ็กซเรย์ฟรูโอโรสโคปช่วยในการจัดแนวกระดูกและวางตำแหน่งของเหล็กแผ่น วิธีดังกล่าวทำให้เกิดแผลขนาดเล็ก ป้องกันเนื้อเยื่อไม่ให้ชอกช้ำและทำลายระบบไหลเวียนเลือดบริเวณเยื่อหุ้มกระดูกและรอยหักให้น้อยที่สุด รวมทั้งจะใส่สกรูจำนวนพอเหมาะที่จะให้ความมั่นคงเพียงพอต่อการส่งเสริมการเชื่อมติดของกระดูก จึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดน้อยลง ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด และลดการเสียเลือด ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว กระดูกติดเร็ว และแผลมีขนาดเล็กสวยงาม ผู้ป่วยในการกลับไปดำเนินชีวิตตามปกติได้โดยเร็ว” นายแพทย์ สุทร กล่าว
เทคนิคที่ 2 คือ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมแบบไม่ตัดกล้ามเนื้อ ด้วยเทคนิคซ่อนแผลผ่าตัด ทั้งนี้ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกแบบเดิม มักจะทำการผ่าตัดจากด้านหลังหรือด้านข้างและต้องตัดกล้ามเนื้อรอบข้อสะโพกออก ทำให้เจ็บปวดเพิ่มขึ้น แผลยาว 6-8 นิ้ว แต่การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกแบบไม่ตัดกล้ามเนื้อ ด้วยเทคนิคซ่อนแผลผ่าตัด ความยาวแผลจะลดเหลือเพียง 3 - 4 นิ้ว บริเวณขาหนีบซ่อนใต้แนวกางเกงใน
“เทคนิคนี้ทำให้สามารถเปลี่ยนข้อสะโพกได้ โดยแทรกผ่านช่องระหว่างกล้ามเนื้อลงไปจึงทำให้เจ็บปวดน้อย ฟื้นตัวไว เดินได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องใช้ไม้เท้า เคลื่อนไหวสะดวก อยู่โรงพยาบาล 2 - 4 วัน ก็กลับบ้านได้ ลดโอกาสเกิดข้อสะโพกหลุดหลังผ่า เพราะกล้ามเนื้อด้านหลังไม่ถูกตัด เมื่อเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมแล้วยังสามารถนั่งไขว่ห้าง คุกเข่า ขัดสมาธิได้ ที่สำคัญแผลผ่าตัดจะอยู่ด้านหน้าบริเวณขาหนีบซ่อนใต้แนวกางเกงใน ทำให้ไม่เห็นรอยแผลเมื่อใส่กางเกงขาสั้นหรือชุดว่ายน้ำ ลดโอกาสเกิดแผลเป็น เพราะเป็นการผ่าตามทิศทางธรรมชาติของผิวหนัง ซึ่งจะทำให้การสมานตัวของแผลผ่าตัดดีขึ้น” นายแพทย์สุทร กล่าว
และเทคนิคที่ 3 คือ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมด้วยเทคนิคแบบทะนุถนอมเนื้อเยื่อไม่ให้บอบช้ำ ร่วมกับการใช้เครื่องจี้ห้ามเลือดด้วยคลื่นวิทยุ ที่ไม่ทำให้เนื้อเยื่อเกรียม และระบบบริหารยาลดความเจ็บปวด โดยใช้การฉีดยาชาเข้าช่องไขสันหลังเพื่อไม่ให้เจ็บในระหว่างการผ่าตัด และทำให้คนไข้ไม่เจ็บปวดภายหลังการผ่าตัดด้วย Adductor Canal Block โดยจะฉีดยาชาเข้าไปที่เส้นประสาทบริเวณเหนือเข่า และคาสายไว้ เพื่อให้ยาต่อไปช้าๆ แบบอัตโนมัติทำให้ไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่กล้ามเนื้อยังทำงานได้ หลังผ่าตัดอาจจะต้องพักฟื้นหนึ่งคืน ก่อนที่จะให้นักกายภาพบำบัดสอนฝึกการขยับขาและการงอเหยียดเข่า ฝึกการยืนเดินภายใน 24 ชั่วโมงหลังผ่าตัด ซึ่งปัจจุบันมีการใช้เครื่อง Alter G (Anti Gravity Treadmill) หรือ ลู่วิ่งต้านแรงโน้มถ่วง เป็นเครื่องมือกายภาพบำบัด
“เมื่อคนไข้เดินเข้าไปในเครื่อง Alter G ระบบจะทำการอัดอากาศเข้าไปเพื่อพยุงตัวให้ลอยขึ้น เปรียบเสมือนเดินอยู่ในลูกบอลลูน คนไข้จึงกล้าก้าวเดิน เพราะไม่เจ็บขณะลงน้ำหนัก นักกายภาพบำบัดจะปรับการต้านแรงโน้มถ่วงจากมากไปหาน้อย เพื่อให้ผู้ป่วยปรับตัวกับการรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทีละน้อยได้ ช่วยให้ฟื้นตัวเร็ว ภายในวันแรกก็สามารถขยับเดินได้ เมื่อครบตามโปรแกรม ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถเดินกลับบ้านและใช้ชีวิตประจำวันได้ แต่ยังไม่แนะนำให้วิ่งหรือกระโดด สามารถนั่งกับพื้นได้ หรือเล่นกีฬาที่ไม่หนักอย่างตีกอล์ฟ ขี่จักรยาน หรือว่ายน้ำได้”
นายแพทย์ สุทร กล่าวสรุปว่า การให้การรักษาด้านศัลยกรรมกระดูกของโรงพยาบาลในเครือ BDMS นั้น มีความพร้อมในการรับผู้ป่วยฉุกเฉินจากอุบัติเหตุ ทั้งทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง มาตรฐานการให้การรักษา อุปกรณ์และเทคนิคที่ใช้ในการรักษาที่ทันสมัย โดยผู้ป่วยเจ็บตัวน้อย และฟื้นตัวเร็ว ผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจ