สพฉ. เตรียมออกร่างกฎหมายยกระดับ “การแพทย์ฉุกเฉิน” ครอบคลุมงานปฏิบัติการและงานอำนวยการ ช่วยกลุ่มนอกระบบมีกฎหมายคุ้มครอง ทั้งมอเตอร์ไซค์ขอทางฉุกเฉิน รถขนอุปกรณ์ช่วยชีวิต
วันนี้ (18 ก.ย.) ที่โรงแรมเอเชียแอร์พอร์ท สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็น (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน เรื่อง หน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ พ.ศ. ... โดยมีเครือข่ายการแพทย์ฉุกเฉินทั้งจากภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมประชุมรับฟังความเห็นในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก
ร.อ.นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการ สพฉ. กล่าวว่า ในงานด้านฉุกเฉินมีกฎหมายคุ้มครองวิชาชีพแพทย์ พยาบาล แต่ในกลุ่มปฏิบัติงานที่ไม่ใช่แพทย์และพยาบาล ไม่มีกฎหมายคุ้มครองแต่อย่างใด โดยจะเห็นว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ถ้าพูดถึงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน (กพฉ.) ยังไม่มีการออกประกาศ ประเภทระดับอำนาจหน้าที่ ของเขตการรับผิดชอบและข้อจำกัดของหน่วยปฏิบัติการ ซึ่งในปัจจุบันจะพบว่า มีหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินเกิดขึ้น ทั้งในระบบ และนอกระบบ จำนวนมาก ยกตัวอย่าง การมีรถมอเตอร์ไซค์ มีคนขับ และมีสัญญาณไฟฉุกเฉิน เพื่อขอทางแล้ววิ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร ที่จะไปช่วยเหลือผู้ป่วย ซึ่งถือว่าพวกนี้ผิดกฎหมาย รวมทั้งกรณีมีรถขนอุปกรณ์เพื่อไปช่วยชีวิต เช่น อุปกรณ์ตัดถ่าง แล้วไปติดสัญญาณไฟฉุกเฉินเพื่อขอทาง สิ่งเหล่านี้ยังไม่มีการรับรองรถประเภทนี้ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมีการปฏิบัติการจริงแต่ไม่มีกฎหมายคุ้มครอง หรืออาจจะมีรถตู้สีขาว คล้ายกับรถฉุกเฉิน ไปรับบริการประชาชน ซึ่งบางส่วนมีการเรียกเก็บเงิน จึงทำให้ประชาชนเกิดความสับสน นำมาซึ่งปัญหาของสังคมตามมา ด้วยเหตุนี้ทาง สพฉ. จึงจำเป็นต้องทำประชาพิจารณ์ ร่างกฎหมายฉบับนี้ เพื่อยกหน่วยปฏิบัติฉุกเฉินการแพทย์ให้มีมาตรฐาน
ร.อ.นพ.อัจฉริยะ กล่าวว่า สาระของร่างประกาศฉบับนี้ จะอยู่ในหมวดที่ 1 ที่พูดถึงหน่วยปฏิบัติการ ที่มีอยู่ 2 ประเภท คือ 1. ปฏิบัติการด้านการแพทย์ และ 2. ปฏิบัติการด้านอำนวยการ ซึ่งปัจจุบันในการดำเนินการ มักไปทับซ้อนกับสถานพยาบาล หรือ พ.ร.บ. สถานพยาบาลในหลายข้อ โดยเฉพาะในระดับปฏิบัติการขั้นสูง ซึ่งตรงนี้โดยอำนาจหน้าที่ สพฉ. ไม่มีอำนาจ ในการควบคุมกำกับดูแล เพราะฉะนั้นอาจทำให้เกิดความสับสน ว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของ สพฉ. โดยตรงหรือไม่ โดยในส่วนของ สพฉ.เองมีอำนาจหน้าที่คอยสนับสนุนเท่านั้น
“ในส่วนของร่างกฎหมายใหม่ที่จะเกิดขึ้นได้มีการแบ่งประเภท หน่วยปฏิบัติฉุกเฉินการแพทย์ไว้อยู่ 3 ประเภท คือ 1. ประเภทช่วยเวชกรรมโดยไม่ลำเลียงผู้ป่วย 2. ประเภทช่วยเวชกรรมลำเลียงผู้ป่วย และ 3. ประเภทวิชาชีพ ซึ่งกฎหมายนี้ไว้สำหรับการสนับสนุน ไม่ใช่การกำกับ ขณะที่หน่วยปฏิบัติการด้านการอำนวยการ ของเดิมมีศูนย์ 1669 ทั่วประเทศ ซึ่ง 1669 เดิม มี 3 กลุ่มใหญ่ๆ ประกอบด้วย 1. กลุ่มที่มีเพียงพนักงานรับแจ้ง ไม่มีพยาบาล 2. มีแค่พยาบาลกำกับ ไม่มีแพทย์ และ 3. มีแพทย์อย่างเดียว ทั้งหมดนี้เรา เอาของเดิมที่มีอยู่มาจัดลำดับ เพื่อให้เกิดเป็นรายละเอียดให้เป็นมาตรฐานในการเพิ่มขีดความสามารถเกี่ยวกับการให้บริการ” ร.อ.นพ.อัจฉริยะ กล่าวและว่า การออกกฎหมายฉบับนี้ เพื่อเป็นการชี้ทิศทางให้ท้องถิ่น รวมทั้งพื้นที่ได้เตรียมตัวเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย เมื่อออกเป็นบทเฉพาะกาลแล้ว คาดว่า อีก 3 ปีข้างหน้าถึงจะมีผลบังคับใช้ เพื่อให้หน่วยปฏิบัติฉุกเฉินการแพทย์ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ได้เตรียมตัวเพื่อไปสู่อนาคต และขอยืนยันว่า แผนประกาศการใช้กฎหมายนี้ไม่กระทบต่อการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ฉุกเฉิน ที่ต้องผลิตบุคลากรให้ทันตามกฎหมายใหม่ ตามที่หลายฝ่ายกังวลแน่นอน เพราะถือว่าเป็นการปูพื้นฐาน เกี่ยวกับการบริการของหน่วยปฏิบัติฉุกเฉินการแพทย์ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ