สจล. วิจัยสารสกัดจาก “มะรุม - กระเทียม - กรดอะมิโน -
จุลินทรีย์” พัฒนาเป็น 3 สูตรกำจัดผักตบชวา ช่วยทำลายคลอโรฟิลล์ ยับยั้งการเจริญเติบโต พร้อมย่อยสลายซากเหี่ยวแห้ง ไม่ก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในแหล่งน้ำ ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
ดร.สามารถ ดีพิจารณ์ ที่ปรึกษาคณบดี วิทยาลัยการบริหารและการจัดการ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ในฐานะประธานโครงการกำจัดผักตบชวาอย่างยั่งยืนด้วยพืชสมุนไพร กล่าวว่า ผักตบชวา ถือเป็นวัชพืชร้ายคู่สายน้ำในประเทศไทย เพราะมีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว จนกีดขวางการไหลของกระแสน้ำ ก่อให้เกิดน้ำท่วมได้ง่าย ส่งผลต่อระบบนิเวศแหล่งน้ำ ทำให้น้ำเน่าเสียและสัตว์น้ำตาย และทำลายทัศนียภาพของแม่น้ำลำคลอง โดยจากสถิติการสำรวจปริมาณผักตบชวาเมื่อช่วงเดือน ก.ย. 2559 พบว่า แหล่งน้ำทั่วประเทศมีปริมาณผักตบชวารวมทั้งสิ้น 6,205,355 ตัน แต่การกำจัดผักตบชวาไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยปริมาณที่เยอะและแพร่กระจายที่รวดเร็ว ประกอบกับลอยอยู่ในแหล่งน้ำ สจล. จึงได้วิจัยและพัฒนานวัตกรรม “การกำจัดผักตบชวาอย่างยั่งยืนด้วยสารสกัดจากพืชสมุนไพร”
ดร.สามารถ กล่าวว่า สารสกัดจากสมุนไพรที่นำมาใช้กำจัดผักตบชวา มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์และทดลองสูตรที่เหมาะสม จนได้สูตรที่ดีที่สุดในการกำจัดผักตบชวา 3 สูตร คือ 1. Extract-Wayacin ค้นพบจากสารสกัดจากพืชสมุนไพรเข้มข้นและจุลินทรีย์ชีวภาพ ที่เหมาะสมสำหรับการกำจัดผักตบชวาโดยที่ไม่มีผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม 2. Micro-Organ และ 3. Super-Organ ค้นพบจากสารสกัดจากพืชสมุนไพรเจือจางและจุลินทรีย์ชีวภาพ ที่เหมาะสมสำหรับการกำจัดผักตบชวาและเพื่อกินก๊าซไข่เน่า (Hydrogen Sulfide) ซึ่งทุกสูตรมีองค์ประกอบของ มะรุม (Moringa Oleifera Lam), กระเทียม (Allium Sativum) , กรดอะมิโน Amino Acid Residue และ จุลินทรีย์ Microorganisms แต่ในส่วนของค่าความเป็นกรดด่างและอัตราส่วนผสมจะแตกต่างกัน เพื่อประสิทธิภาพในการฉีดพ่นเข้าทำลายสารคลอโรฟิลล์ของผักตบชวา และทำหน้าที่สลายซากผักตบชวาที่เหี่ยวแห้งและตาย โดยไม่ก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในแหล่งน้ำและไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
“นวัตกรรมสารสกัดจากพืชสมุนไพรโดยการฉีดพ่นเพื่อกำจัดผักตบชวา ใช้ระยะเวลาไม่เกิน 45 วัน แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ฉีดพ่นด้วย Extract - Wayacin : เพื่อสกัดการสังเคราะห์แสงและการสังเคราะห์โปรตีนของใบผักตบชวาใช้ระยะเวลาประมาณ 7 - 10 วัน จะทำให้ใบแห้งเหี่ยวตาย 2. ฉีดพ่นด้วย Micro - Organ : เพื่อสกัดการสังเคราะห์แสงการสังเคราะห์โปรตีนของใบผักตบชวาซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อต้นแม่ใกล้จะตายจะผลิตลูกต้นอ่อนขึ้นมาแทน ใช้ระยะเวลาประมาณ 7 - 14 วัน จะทำให้ต้นอ่อนตายและต้นแม่เริ่มเน่าเปื่อยจากใบจนถึง ราก - เมล็ด - ไหล และ 3. ฉีดพ่นด้วย Super - Organ : เพื่อกินก๊าซไข่เน่าจำนวนมาก ใช้ระยะเวลาประมาณ 7 - 14 วัน จะช่วยปรับสภาพน้ำให้มีคุณภาพดีขึ้น” ดร.สามารถ กล่าว
ดร.สามารถ กล่าวว่า จากการนำต้นผักตบชวามาทดลองในห้องปฏิบัติการ เพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในขั้นตอนต่างๆ เริ่มตั้งแต่การดูดซึมของราก การดูดซับน้ำ คุณภาพน้ำ ใบแห้งเหี่ยวตาย การเกิดต้นอ่อนใหม่ การเริ่มเน่าเปื่อยจากใบจนถึงราก - เมล็ด - ไหล การเกิดก๊าซไข่เน่า การปรับสภาพน้ำให้มีคุณภาพดีขึ้น และน้ำใสขึ้น พบว่า ต้นผักตบชวาหนัก 1,000 กรัม หลังจากตากให้แห้งจะมีน้ำหนักเหลือประมาณ 50 กรัม คิดเป็นน้ำหนักของกากแห้งเฉลี่ย ร้อยละ 5 แต่ฉีดพ่นด้วยสารสกัดดังกล่าวแล้วปล่อยให้เน่าเปื่อยและย่อยสลายในน้ำ จะเหลือส่วนที่เป็นรากและไหลที่เมื่อนำมาตากแห้งจะเหลือน้ำหนักเพียง 10 กรัม คิดเป็นน้ำหนักของกากแห้งเฉลี่ย ร้อยละ 1 ในขณะที่การวิเคราะห์และหาค่าประมาณการโดยเฉลี่ย ความหนาแน่นของผักตบชวา ไร่ จะมีน้ำหนัก 80 ตัน หรือ 80,000 กิโลกรัม ถ้าถูกกำจัดด้วยนวัตกรรมใหม่จะเหลือซากคิดเป็นน้ำหนักเพียง 80 กิโลกรัมต่อไร่ ตกทับถมลงในใต้น้ำ ซึ่งซากหรือตะกอนที่รอการย่อยสลายตามธรรมชาติเพียง 1% จะไม่ส่งผลทำให้แม่น้ำลำคลองตื้นเขิน จึงสรุปได้ว่าในการกำจัดผักตบชวาด้วยนวัตกรรมใหม่นี้ จะส่งผลดีในการรักษาระบบนิเวศในน้ำได้เป็นอย่างดี