หลายคนอาจสงสัยว่าหลักสูตร “เข็มทิศชีวิต” ของครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง ที่มีการตั้งราคาไว้แพงลิบลิ่ว กับการใช้เทคนิค “NLP (Nero-Linguistic programming)” มาใช้ในการโค้ชผู้เข้าคอร์สอบรมให้มีแนวทางชีวิตที่ดีขึ้น กับ “ดร.ป๊อป” ฐาวรา สิริพิพัฒน์ นักพูดนักเขียนหนุ่มที่ระบุว่าเรียนในเรื่องของ NLP มาเช่นกัน ซึ่งกำลังเผชิญดรามากรณีด่าทอ ไล่ให้ผู้เข้าอบรมสาวรายหนึ่งไปตาย และจับขัง เพื่อพิสูจน์ว่า ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจริงหรือไม่นั้น สามารถช่วยให้ชีวิตคนๆ หนึ่งดีขึ้นได้จริงหรือไม่
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า NLP นั้น ว่าด้วยเรื่องของเทคนิคการจัดพฤติกรรมของสมองและจิตใต้สำนึก โดยใช้ชุดภาษาพูดและทางกาย เพื่อช่วยให้บุคคลแปลความสิ่งที่มากระทบใหม่ แล้วตอบสนองเป็นพฤติกรรมใหม่ที่ดีเป็นประโยชน์กับชีวิต ซึ่งเป็นคำที่ใช้กันแพร่หลายในหมู่นักจิตวิทยาคลินิก นักจิตบำบัด จิตแพทย์ นักพัฒนาศักยภาพ นักเจรจาต่อรอง นักการตลาด นักขาย และนักพูดโน้มน้าวใจ ก็เป็นเนื้อหาหลักสูตรที่คิดค้นโดย “ศาสตราจารย์ ริชาร์ด แบนด์เลอร์” และผู้ช่วย “ดร. จอห์น กรินเดอร์” แห่งมหาวิทยาลัยซันตาครูซ ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และโด่งดังเป็นพลุแตกในสหรัฐอเมริกา ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผ่านนักพูดที่สร้างแรงบันดาลใจระดับโลกหลายต่อหลายคน ไม่ว่าจะเป็น “แอนโทนี่ รอบบินส์” หรือ “พอล แมคเคนน่า” ที่ล้วนแล้วแต่ใช้เทคนิค NLP สร้างปรากฏการณ์สะกดผู้ร่วมสัมมนามาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของจิตแพทย์อย่าง นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ หัวหน้ากลุ่มที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้แสดงความคิดเห็นเรื่องของ NLP ไว้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า เบื้องต้นจะต้องแยกแยะระหว่างการบำบัดกับการฝึกอบรมก่อน หากเป็นการบำบัดนั้น จะต้องมีใบประกอบโรคศิลปะ เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยาคลินิก หรือพยาบาล เป็นต้น และถ้าเป็นการบำบัดเฉพาะทางลงไป เช่น NLP ต้องได้รับการรับรองจากสถาบันที่เป็นผู้พัฒนาผู้บำบัดในวิธีการนี้
นั่นหมายถึง การบำบัดผู้ป่วยด้วยวิธีเฉพาะทางอย่าง NLP ต้องมีใบประกอบโรคศิลปะก่อน แล้วค่อยได้รับการรับรองจากสถาบันผู้พัฒนาวิธีการ NLP เพื่อที่จะสามารถช่วยเหลือได้อย่างถูกต้องตามหลักการและหลักจริยธรรม เป็นจุดเน้นที่มีความสำคัญ ไม่ใช่โปรแกรมที่ใครก็สามารถทำได้ เนื่องจากต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ผู้ป่วยเล่าให้ฟัง ไม่ว่าจะเรื่องส่วนตัว หรือการวางแผนแนวทางให้ผู้ป่วยได้คิดและตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง
ในต่างประเทศที่มีการวิจัยเชิงประจักษ์มากมายว่า การใช้ NLP ในเรื่องการบำบัดอาจไม่ได้ผลมากอย่างที่ทาง NLP ประกาศ และลดบทบาทในการบำบัดลงไปเรื่อยๆ แต่ยังมีบทบาทในการฝึกอบรมอยู่ระดับหนึ่ง
ทั้งนี้ หากเป็นการนำ NLP มาใช้ในการอบรม นพ.ยงยุทธ ฝากไว้แค่ว่า หากมีการนำผู้เข้าร่วมโปรแกรมมาสาธิต จะต้องคำนึงถึงผลดีและผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการเปิดเผยจิตใจของผู้ที่ถูกยกตัวอย่างท่ามกลางคนจำนวนมากโดยไม่ใช่การบำบัดนั้นเหมาะสมหรือไม่ เป็นเรื่องสำคัญที่อยากฝากไว้
การที่หลายคนแห่เข้าคอร์มอบรมหาผู้ชี้แนะแนวทางให้แก่ชีวิต อาจสะท้อนได้ว่า หลายๆ คนกำลังประสบปัญหาเรื่องของความอ่อนแอของจิตใจ ต้องการคนนำทางชีวิตให้ไปพบกับความสุขและความสำเร็จ ซึ่งการดูแลสุขภาพจิตตัวเองให้มีความสุขนั้น นพ.ยงยุทธ แนะนำว่า ไม่ว่าจะอยู่วงการไหนก็ตาม ไม่ต้องเข้าโปรแกรมในรูปแบบที่ต้องเสียเงินมากๆ ด้วยซ้ำ เพราะทุกคนสามารถดูแลสุขภาพจิตได้เบื้องต้น เช่น การฝึกสมาธิ ฝึกสติ การจัดการกับความเครียดด้วยตนเองด้วยวิธีการฝึกหายใจคลายเครียด การฝึกจินตนาการคลายเครียด เทคนิค/ทักษะเหล่านี้สามารถทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นและยังป้องกันความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยทางด้านสุขภาพในอนาคต
“เหล่านี้ล้วนมีหลักฐานเชิงประจักษ์แล้วทั้งสิ้น สามารถหาข้อมูลได้เองเบื้องต้นในรูปแบบออนไลน์ ทั้งกรมสุขภาพจิตเอง หรือหน่วยงานอื่นๆ ที่สำคัญอย่าหวังจะได้ผลอะไรสูงๆ โดยยอมเสียเงินมากๆ แต่ไม่ต้องลงแรงกระทำด้วยตนเอง แบบเดียวกับลงทุนน้อยแต่กำไรมากหรือจ่ายค่าคอร์สแพงๆ เพื่อลดน้ำหนักโดยไม่ต้องควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย” นพ.ยงยุทธ กล่าว