เวลาจะทำบุญตักบาตร คุณจะเลือกอาหารแบบไหน ?
1. เลือกอาหารที่ตัวเองชอบ
2. เลือกอาหารที่ผู้ล่วงลับชอบ และเราอยากทำบุญไปให้
3. เลือกซื้ออาหารชุดตามร้านค้า โดยไม่สนใจว่าเป็นอาหารชนิดใด
4. ทำเอง และเน้นอาหารสุขภาพ
ฯลฯ
และไม่ว่าคุณจะเลือกข้อไหน รู้หรือไม่ว่าอาหารที่เราเลือกทำบุญตักบาตรให้พระสงฆ์ ล้วนแล้วแต่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของพระสงฆ์
ล่าสุด รศ.ดร.ภญ.จงจิตร อังคทะวานิช ผู้จัดการโครงการขับเคลื่อนสงฆ์ไทยไกลโรคเพื่อการดูแลโภชนาการพระสงฆ์ในระดับประเทศ (สสส.) เปิดเผยข้อมูลในงานแถลงข่าว “สงฆ์ไทยไกลโรค เข้าพรรษานี้ อย่าลืมตักบาตร ถาม (สุขภาพ) พระ” โดยความร่วมมือของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พบว่า พระสงฆ์ใน กทม. และในเขตเมืองกว่าครึ่ง มีความเสี่ยงต่อ โรคอ้วน โดยพระสงฆ์ใน กทม. 48% ของกลุ่มตัวอย่างมีภาวะอ้วนลงพุงมากกว่าชายใน กทม. (39%) และ ชายทั่วประเทศ (28%) ซึ่งมีภาวะความเสี่ยงต่อโรค เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และ ความดันโลหิตสูง
นอกจากนี้ ยังมีการเก็บข้อมูลพระสงฆ์ในภาคอีสาน พบว่า พระสงฆ์ในเขตเมืองเสี่ยงต่อภาวะน้ำหนักเกินสูงกว่าในเขตนอกเมือง สาเหตุสำคัญมาจากอาหารใส่บาตรที่มีโปรตีนต่ำหรือได้รับเพียง 60% ของปริมาณโปรตีนที่ควรได้รับ ปริมาณใยอาหารมีระดับต่ำ จึงชดเชยด้วยการดื่มน้ำปานะที่มีน้ำตาลสูงถึง 7 ช้อนชาต่อวัน
“อาหารส่วนใหญ่ในการถวายพระมาจากการที่ญาติโยมซื้ออาหารชุดใส่บาตร โดยมีหลักการเลือกอาหาร คือ ความสะดวกและราคา เลือกเมนูที่ผู้ล่วงลับชอบบริโภค ซึ่งเมนูหลักที่แม่ค้านิยม เช่น ไข่พะโล้ แกงเขียวหวาน หมูทอด และขนมหวาน ทำให้พระสงฆ์จำเป็นต้องฉันเพื่อให้ญาติโยมได้บุญ ไม่เสียศรัทธา”
ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อสำรวจเรื่องการออกกำลังกาย ก็พบอีกว่า พระสงฆ์ออกกำลังกายน้อย เพราะกลัวผิดพระธรรมวินัย โดยพบว่า ใน 1 วัน พระสงฆ์เดินเบาประมาณ 30 นาที ซึ่งน้อยกว่าชายไทยที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 100 นาที พระสงฆ์จึงเป็นกลุ่มบุคคลที่มีโอกาสในการส่งเสริมสุขภาพต่ำ ได้แก่ ขาดการบริโภคอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ ขาดการตรวจสุขภาพประจำปี และมีข้อจำกัดในการออกกำลังกาย
ขณะที่ พระราชวรมุนี รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กล่าวว่า แม้อาหารบิณฑบาตจะเลือกไม่ได้ แต่พระสงฆ์สามารถพิจารณาฉันอาหารที่ดีต่อร่างกายได้ โดยพระธรรมวินัย พระพุทธเจ้าให้พระสงฆ์เป็นอยู่อย่างเรียบง่าย ฉันอาหารพอสมควร ส่วนเรื่องออกกำลังกาย พระสงฆ์ไม่สามารถทำเหมือนฆราวาส เพราะพระภิกษุต้องประพฤติตนสำรวม แต่มีหลักกิจวัตร 10 ประการ ที่พระพุทธเจ้าอนุญาต ซึ่งถือเป็นการออกกำลังกาย เช่น การเดินบิณฑบาต กวาดลานวัด ทำความสะอาดวัด เดินจงกลม ตัดต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ เพื่อขยับร่างกาย รวมถึงแกว่งแขนลดพุงลดโรคซึ่งทำได้ในพื้นที่วัด
สรุปว่า ประเด็นสำคัญสองเรื่องที่พระสงฆ์ต้องระมัดระวัง ก็คือ เรื่องฉันอาหาร และ การออกกำลังกาย แต่เรื่องฉันอาหารเป็นเรื่องที่ฆราวาสต้องมีความรู้และปรับเปลี่ยนวิธีคิดตั้งแต่ต้นทาง ควรจะคำนึงถึงสุขภาพของพระสงฆ์ด้วย
ในงานแถลงข่าวมีภาคีเครือข่ายสำคัญอยู่ร่วมด้วยมีมติตรงกันว่าเรื่องนี้มีความสำคัญที่ต้องเร่งทำความเข้าใจต่อสังคม โดย นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า จากมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ส่งผลให้เกิดมติมหาเถรสมาคม เรื่อง พระสงฆ์กับการพัฒนาสุขภาวะ โดยจะมีการขับเคลื่อนร่วมกันต่อไป คือ ความร่วมมือในการพัฒนาธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ เพื่อเป็นเครื่องมือปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์ ฆราวาสและหน่วยบริการสุขภาพในการสร้างเสริมสุขภาพที่นำเอาหลักพระธรรมวินัยเป็นตัวนำ และใช้ความรู้ทางสุขภาพเป็นตัวเสริม
ในธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์จะมี 3 มิติที่เกี่ยวข้อง คือ 1. พระสงฆ์กับการสร้างเสริมและดูแลสุขภาพตนเอง 2. ฆราวาสชุมชนและบุคลากรทางสุขภาพ ควรมีข้อปฏิบัติในการดูแลสุขภาพพระสงฆ์อย่างไรที่เหมาะสมตามหลักพระธรรมวินัย และ 3. บทบาทพระสงฆ์ในการเป็นผู้นำของชุมชนด้านสุขภาพ โดยสช. จะร่วมสนับสนุนการจัดทำและขับเคลื่อนธรรมนูญฯ โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วม ซึ่งในเดือน ส.ค. และ ก.ย. นี้ วางแผนไว้ว่าจะมีเวทีรับฟังความคิดเห็นต่อร่างธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ ก่อนเสนอต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคมเพื่อเห็นชอบ และประกาศให้ภาคีเครือข่ายรับทราบในสมัชชาสุขภาพครั้งที่ 10 ในเดือน ธ.ค. นี้เป็นเรื่องน่ายินดีที่ภาคีเครือข่ายเห็นพ้องกันที่อยากส่งเสริมสุขภาพของพระสงฆ์ให้ห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บ ยิ่งกำลังเข้าสู่ช่วงเข้าพรรษา ยิ่งต้องเร่งสร้างการรับรู้ให้กับทั้งพระสงฆ์และฆราวาส หากพระสงฆ์เห็นความสำคัญ ก็จะได้นำข้อมูลให้ญาติโยมตระหนักในเรื่องนี้ต่อไปด้วย
เอาเป็นว่าก่อนที่จะมีธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ น่าจะถึงเวลาที่ชาวเราฆราวาสจะลงมือเปลี่ยนวิธีคิดและทัศนคติในการทำบุญตักบาตร โดยนึกถึงสุขภาพของพระสงฆ์เป็นอันดับแรกกันดีกว่า
เชื่อเถอะค่ะ เริ่มจากเปลี่ยนวิธีคิดแล้ว มันจะส่งผลดีถึงตัวเราเองด้วย