กรมสุขภาพจิต เตรียมส่ง “จิตแพทย์ - นักจิตวิทยา” ดับอารมณ์ร้อน “เด็กอาชีวะ” 2 สถาบันยกพวกตีกัน วันที่ 3 ก.ค. นี้ ป้องกันก่อเหตุซ้ำสอง พร้อมเร่งปรับปรุงชุดคู่มือป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงในวัยรุ่น เผย อยู่ระหว่างนำร่องศึกษา ก่อนขยายผลใช้ในสถาบันอาชีวศึกษาทั่วประเทศ
นพ.สมัย ศิริทองถาวร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีเหตุนักเรียนอาชีวศึกษาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระราม 6 เขตบางพลัด กทม. และ วิทยาลัยเทคนิคดุสิต ยกพวกตีกัน บริเวณตลาดฝั่งตรงข้ามกับห้างเมเจอร์นนทบุรี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 4 คน ว่า เหตุที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่นสะท้อนถึงปัญหาสังคม โดยเฉพาะการใช้ความรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความคิด ขาดทักษะการจัดการอารมณ์ มีความอดทนต่ำ แต่สาเหตุการยกพวกตีกันของเด็กสายอาชีวศึกษา ส่วนใหญ่มักจะไม่ใช่จากเรื่องส่วนตัว มักเป็นเรื่องศักดิ์ศรีความด้อยไม่ด้อยของสถาบันที่ศึกษา อิงตามกลุ่มเพื่อนพวกพ้อง ช่วงที่นักเรียนอาชีวศึกษามักตีกันมี 2 ช่วง คือ ช่วงเปิดเทอมใหม่และช่วงก่อนปิดเทอม เป็นช่วงที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันระวัง โดยกรมสุขภาพจิตจะส่งทีมสุขภาพจิตเข้าไปร่วมให้การดูแลจิตใจญาติเด็กที่เสียชีวิตและดูแลจิตใจเด็กที่ได้รับบาดเจ็บและพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล
“นอกจากนี้ ในวันจันทร์ที่ 3 ก.ค. นี้ จะส่งทีมจิตแพทย์ นักจิตวิทยา จากสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กทม. และศูนย์สุขภาพจิตที่ 13 กทม. เข้าไปร่วมให้การดูแลด้านจิตใจอารมณ์ของเด็กอาชีวศึกษา ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตทั้ง 2 แห่ง เพื่อจัดระบบการเฝ้าระวัง การเสริมทักษะด้านการจัดการอารมณ์ ร่วมกับครูของทั้ง 2 สถาบันเพื่อป้องกันการก่อเหตุซ้ำสอง” นพ.สมัย กล่าว
นพ.สมัย กล่าวว่า ส่วนการป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงของเด็กอาชีวศึกษา ทั้งเรื่องการดื่มสุรา สูบบุหรี่ การมีเพศสัมพันธ์ ตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร อุบัติเหตุจากการขับขี่ยานพาหนะ ทะเลาะวิวาท รวมทั้งปัญหาการติดเกม เป็นต้น ขณะนี้ กรมฯ ได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา พัฒนาโปรแกรมสร้างทักษะชีวิตที่จำเป็นในชีวิตประจำวันให้แก่นักเรียนสายอาชีวศึกษาระดับ ปวช. อายุ 15 - 20 ปี เพื่อสร้างอนาคตวัยรุ่นของไทยให้มีคุณภาพ ให้สามารถเผชิญสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันและในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสังคมในศตวรรษที่ 21 เป็นยุคข่าวสารข้อมูลและเทคโนโลยี วัยรุ่นจำเป็นต้องมีทักษะชีวิตวิเคราะห์ไตร่ตรองข้อมูลข่าวสารที่ได้รับมาอย่างรอบด้านและตัดสินใจเลือกปฏิบัติในสิ่งที่เหมาะสม ทักษะชีวิตจึงเสมือนเป็นวัคซีนสร้างภูมิต้านทานให้วัยรุ่นป้องกันปัญหาพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ที่เป็นภัยกับสุขภาพและสังคม โดยอยู่ระหว่างทบทวนปรับปรุงชุดคู่มือต่างๆ เช่น ทักษะชีวิตป้องกันโรคเอดส์ ป้องกันสารเสพติด และป้องกันความรุนแรงในสถานศึกษา ซึ่งขณะนี้ได้ต้นแบบแล้วอยู่ระหว่างทดลองใช้โปรแกรมนี้ที่วิทยาลัยเทคนิคดุสิตและวิทยาลัยเทคนิคสิงห์บุรีในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2560 จากนั้นจะทำการประเมินผลเพื่อปรับให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น คาดว่า จะขยายผลใช้ในสถาบันอาชีวศึกษาตั้งแต่ปลายปี 2560 นี้ เป็นต้นไป
พญ.มธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กทม. กล่าวว่า โปรแกรมสร้างทักษะชีวิตนักเรียนสายอาชีวศึกษานี้จะครอบคลุมทักษะที่จำเป็นในสังคมไทยและทักษะที่ต้องมีในสังคมศตวรรษที่ 21 ทั้ง 3 มิติ คือ ด้านความคิด ด้านอารมณ์ และด้านคุณค่าในตนเอง มีทั้งหมด 12 ทักษะย่อย ประกอบด้วย ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการตัดสินใจ ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ทักษะการคิดสร้างสรรค์ ทักษะตระหนักรู้ในตน ทักษะเข้าใจคนอื่น ทักษะการจัดการความเครียด ทักษะการจัดการกับอารมณ์ ทักษะการสร้างสัมพันธภาพและทักษะการสื่อสาร ทักษะด้านความภูมิใจในตนเอง ความรับผิดชอบสังคม และทักษะการสร้างเครือข่ายการทำงานเป็นทีม การวางเป้าหมายชีวิตและการวิเคราะห์ข้อมูลที่มาจากสื่อโซเชียลด้วย
สำหรับวิธีการสร้างทักษะชีวิตดังกล่าว จะดำเนินการโดยใช้กิจกรรม ซึ่งผ่านการตรวจสอบประสิทธิภาพจากคณะผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตวัยรุ่น ด้านการศึกษา รวมทั้งประเมินจากผู้เรียนคือนักเรียนอาชีวศึกษาโดยตรง 10 แห่งแล้ว มีทั้งหมด 16 กิจกรรม เช่น กิจกรรมเลโก้มหาสนุก กิจกรรมเคลื่อนพลข้ามฝั่ง กิจกรรมต้นไม้ชีวิต กิจกรรมสำรวจชุมชน กิจกรรมรู้จักฉันรู้จักเธอ เป็นต้น โดยครูจะบูรณาการจัดกิจกรรมแทรกในหลักสูตรการเรียนการสอนตามปกติในระดับ ปวช. โดยจะใช้กระตุ้นในช่วงที่เด็กมารวมกันใหม่ๆ คือ ช่วงเปิดเทอม และก่อนจบในชั้นปีที่ 3