กรมสรรพสามิตจ่อออกกฎหมายคุมปริมาณ “น้ำตาล” ภายใต้ พ.ร.บ.สรรพสามิตฉบับใหม่ ผลิตภัณฑ์อาหารต้องมีความหวานไม่เกิน 10% ปริมาณเกินต้องเสียภาษีเพิ่ม
นพ.พูลลาภ ฉันทวิจิตรวงศ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แถลงข่าวการดำเนินโครงการอาหารปลอดภัยปี 2560 ว่า ปัจจุบันสังคมมีความเปลี่ยนแปลง ทำให้คนไทยมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารสำเร็จรูปมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหารที่มีพลังงาน ไขมัน โซเดียม และน้ำตาลสูง การบริโภคผักผลไม้น้อยลง รวมถึงไม่ค่อยออกกำลังกาย ทำให้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือโรค NCDs เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะไตวายเรื้อรัง หัวใจและหลอดเลือด ฯลฯ เป็นต้น ดังนั้น การใช้ฉลากอาหารเพื่อเป็นทางเลือกในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ให้กับประชาชนจึงถือเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความตระหนักให้กับประชาชนได้เลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ทำให้ประชาชนมีความรู้ในการเลือกบริโภคอาหารมากขึ้นและนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการเลือกบริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และเป็นตัวช่วยหนึ่งในการลดปัจจัยเสี่ยงจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และจากการจัดทำโครงการพบว่าประชาชนมีความเข้าใจและเชื่อมั่นพร้อมที่จะเลือกผลิตภัณฑ์อาหารที่มีฉลากทางเลือกสุขภาพมากขึ้น
ด้าน น.ส.ทิพย์วรรณ ปริญญาศิริ ผอ.สำนักอาหาร อย. กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าการควบคุมปริมาณน้ำตาลในผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ นั้น ขณะนี้อยู่ใน พ.ร.บ. สรรพสามิตฉบับใหม่แล้ว โดยบรรจุอยู่ในร่างกฎหมายลูกของ พ.ร.บ. ดังกล่าว โดยหากมีกฎหมายดังกล่าวออกมาแล้ว ในผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ จะต้องมีความหวานไม่เกิน ร้อยละ 10 หากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องมีการเสียภาษีเพิ่ม ซึ่งปัจจุบันพบว่าผลิตภัณฑ์อาหารหลายชนิดมีการใส่สารความหวานสูงมากประมาณ ร้อยละ 12 - 14 ซึ่งสูงกว่าในยุโรปกว่า 2 เท่า เพราะในยุโรปนั้นจะอนุญาตให้ใส่ได้ประมาณร้อยละ 6 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม คาดว่ากฎหมายที่จะออกมาควบคุมปริมาณความหวานนั้นจะทันใช้ภายในปี 2560 นี้