สธ. เตรียมประชุมทำความเข้าใจพยาบาลทั่วประเทศสัปดาห์หน้า ชี้ ตั้งคณะทำงานร่วม คปร.- ก.พ. ให้ได้ข้อมูลตรงกัน เร่งอัปสิทธิสวัสดิการ พกส. ช่วยดึงดูดให้ไม่เป็นข้าราชการ ด้านอุปนายกสภาการพยาบาลคนที่ 2 แจงข้อมูลพยาบาลของ ก.พ. คลาดเคลื่อน อัตรากำลังน้อยกว่าที่องค์การอนามัยโลกกำหนด
จากกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่อนุมัติข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งวิชาชีพพยาบาลจำนวน 10,992 ตำแหน่ง จนพยาบาลจำนวนมากต่างออกมาคัดค้านมติดังกล่าว ขณะที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ระบุว่า จำนวนดังกล่าวเป็นการขอข้าราชการตั้งใหม่ในระยะเวลา 3 ปี ส่วนปี 2560 คาดว่า จะบรรจุพยาบาลด้วยตำแหน่งข้าราชการเดิมได้ประมาณ 2,600 ตำแหน่ง ด้านคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ก็ชี้แจงสาเหตุที่ไม่อนุมัติ ว่า เพราะ สธ. มีตำแหน่งว่างจำนวนมาก ควรนำมาบริหารจัดการก่อน และจำนวนพยาบาลของไทยก็สูงกว่าอัตราที่องค์การอนามัยโลกกำหนด
วันนี้ (12 พ.ค.) นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สัปดาห์หน้า สธ. จะหารือและทำความเข้าใจกับพยาบาลทั่วประเทศ ผ่านการประชุมทางระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ส่วนกรณีที่ ก.พ. ชี้แจงว่า ไม่เห็นควรจัดสรรอัตรากำลังตั้งใหม่ จำนวน 10,992 อัตรา เนื่องจาก สธ. มีตำแหน่งข้าราชการว่าง ณ วันที่ 3 มีนาคม 2560 จำนวน 11,213 อัตรา ว่า สธ. บริหารอัตรากำลังพยาบาลโดยพิจารณาจากภาระงาน ซึ่งจะต้องมีประมาณ 126,000 คน แต่ขณะนี้ได้ประมาณ 100,800 คน ยังไม่เพียงพอ ที่สำคัญ จะต้องดึงบุคลากรเหล่านี้ให้อยู่ในระบบราชการเพื่อให้สามารถทำงานได้ด้วย แต่ขณะนี้ที่ยังบรรจุไม่ได้ทั้งหมดเพราะไม่มีตำแหน่งรองรับ
“กรณีที่ ก.พ. ระบุว่า ยังมีตำแหน่งว่างอีก 11,213 อัตรา นั้น เป็นข้อมูลจริง แต่ไม่ได้หมายความว่า จะสามารถนำมาบรรจุพยาบาลได้ทั้งหมด เพราะใน สธ. ก็มีหลากหลายวิชาชีพไม่ใช่เฉพาะวิชาชีพพยาบาล ดังนั้น ที่ทำได้ขณะนี้ คือ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาอัตรากำลังใหม่ทั้งหมด” ปลัด สธ. กล่าว
นพ.โสภณ กล่าวว่า สำหรับการแก้ไขปัญหาระยะสั้นของปีนี้ คือ ได้บรรจุเข้าแทนตำแหน่งที่ว่างได้ 1,200 อัตรา อยู่ระหว่างพิจารณาว่ากระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ อย่างไร นอกจากนี้ ได้พิจารณาสำหรับคนที่ควบตำแหน่ง หรือรอเลื่อนตำแหน่ง จะทำให้นั่งในตำแหน่งเดียว ซึ่งจะมีที่ว่างประมาณ 416 อัตรา เพื่อบรรจุใหม่ อีกทั้งจะพิจารณาจากกลุ่มที่ขอรับโอนหรือย้าย คาดว่า มีว่างอีก 893 อัตรา และเหลือตำแหน่งว่างจริงอีก 112 อัตรา ประกอบกับจะมีข้าราชการที่เกษียณอายุในวันที่ 30 กันยายนนี้ อีก 785 อัตรา ก็จะนำมาพิจารณาร่วมด้วย
ทั้งนี้ หากพิจารณาตามที่วางแผนข้างต้น และตามกรอบที่วางไว้ภายใน 1 ปี คาดว่าจะสามารถบรรจุข้าราชการใหม่ได้ประมาณ 3,000 อัตรา ยืนยันว่า สธ. ไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหา จะพยายามดำเนินการให้เร็วที่สุด
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองปลัด สธ. กล่าวว่า ขณะนี้พยาบาลที่ยังไม่ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการมีประมาณ 13,000 คน ทั้งในส่วนของพนักงานราชการ พนักงานกระทรวงสาธารณสุข และลูกจ้างชั่วคราว ซึ่งหากใช้ตำแหน่งข้าราชการเดิมที่มีอยู่ ซึ่งจะว่างลงในแต่ละปี คาดว่า จะต้องใช้เวลาประมาณ 5 - 6 ปี ในการที่จะบรรจุพยาบาลเหล่านี้เป็นข้าราชการได้ อย่างไรก็ตาม ในแต่ละปีจะมีพยาบาลทยอยเพิ่มเข้ามาในระบบด้วย เนื่องจากแต่ละปีจะมีพยาบาลจบใหม่ประมาณ 4,000 คน โดยเข้ามาอยู่ในสังกัด สธ. ประมาณปีละ 3,000 คน ที่เหลืออาจไปอยู่หน่วยงานราชการสังกัดอื่น หรือภาคเอกชน ซึ่งหากได้ตำแหน่งข้าราชการตั้งใหม่วิชาชีพจำนวนราว 10,000 ตำแหน่ง ทยอย 3 ปีนั้น ก็จะไม่ต้องมีการขอตำแหน่งเพิ่มเติมอีก เพราะจะพอดีกับจำนวนเกษียณ ดังนั้น การตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อหารือกับคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) และ ก.พ. ทาง สธ. ก็ต้องให้ข้อมูลเพื่อให้เห็นถึงความจำเป็นและความขาดแคลนพยาบาล ซึ่งสุดท้ายแล้วจะได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ คปร. และ ก.พ. แต่หากบรรจุไม่ได้ทั้งหมดก็ต้องหารือ ว่า จะมีกระบวนการจ้างงานประเภทไหนให้มีแรงจูงใจไม่ให้เป็นข้าราชการได้
“สธ. ก็พยายามผลักดันในส่วนของพนักงานกระทรวงสาธารณสุข (พกส.) เพื่อให้มีแรงจูงใจพอ หลักการก็จะคล้ายกับพนักงานราชการ คือ ได้รับเงินเดือนที่สูงกว่าข้าราชการ สำหรับการเพิ่มสิทธิสวัสดิการ พกส. คือ 1. เงินเดือนมากกว่าราชการ 1.2 - 1.4 เท่า โดยพยาบาลอาจได้อยู่ที่ 1.4 เท่า 2. การตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญ ซึ่งพนักงานราชการไม่มี โดยขณะนี้สามารถตั้งได้แล้ว 3. สามารถลาศึกษาต่อได้ และ 4. สิทธิการรักษาพยาบาลซึ่งใช้สิทธิประกันสังคม หากสิทธิอยู่ที่ รพ. ที่เจ้าตัวทำงานอยู่ ก็สามารถใช้สิทธิรักษารวมถึงครอบครัวได้ ทั้งนี้ เชื่อว่า จะสามารถช่วยดึงดูดให้ไม่อยากเป็นข้าราชการได้ แต่ยังติดปัญหาเพียงเรื่องเดียว คือ เงินเดือน เนื่องจากใช้เงินบำรุง รพ. ในการจ่ายค่าตอบแทน จึงทำให้ยังมีข้อจำกัดอยู่ จึงจ้างด้วยการเป็น พกส. ทั้งหมดไม่ได้” นพ.สมศักดิ์ กล่าว
ด้าน ดร.กฤษดา แสวงดี อุปนายกสภาการพยาบาลคนที่ 2 กล่าวว่า จากการประชุมร่วมกับ รมว.สาธารณสุข ได้สั่งการให้ดำเนินการตามมติ ครม. ไปก่อน โดยใช้อัตราตำแหน่งข้าราชการที่ว่างลงของปีนี้มาบริหารจัดการ ซึ่งในส่วนของพยาบาลคิดว่าน่าจะอยู่ประมาณ 3 พันกว่าอัตรา อย่างไรก็ตาม เรื่องการขออัตรากำลังเพิ่มนั้นยังต้องมีการดำเนินต่อไป และควรมีการตั้งคณะทำงานร่วมระหว่าง สธ. คปร. ก.พ. และหน่วยงานกลาง เพราะที่ผ่านมา ต่างคนต่างทำงาน ใช้ข้อมูลกันคนละชุด สธ. ก็ทำข้อมูลและขออัตรากำลังไป ส่วน ก.พ. ก็ทำข้อมูลเองแล้วก็ไม่อนุมัติ ดังนั้น จึงควรหารือร่วมกัน
ดร.กฤษดา กล่าวว่า ส่วนที่ ก.พ. ชี้แจงว่า อัตราพยาบาลวิชาชีพของไทยสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำขององค์การอนามัยโลก เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน องค์การอนามัยโลกทำการศึกษาจากทั่วโลก และเสนอแนะว่า แต่ละประเทศควรมีสัดส่วนแพทย์ พยาบาลไม่ต่ำกว่า 2.5 ต่อพันประชากร โดยมีพยาบาล 2 ต่อ 1,000 คน หรือ 1 ต่อ 500 คน ถ้าต่ำกว่านี้ถือว่ามีวิกฤตกำลังคนที่จะทำให้อัตราการตายของแม่และเด็กสูงขึ้น และประชาชนจะไม่สามารถเข้าถึงบริการคลอดที่ปลอดภัย ฉะนั้น อย่าเข้าใจผิดในการใช้ตัวเลขสัดส่วนพยาบาลต่อประชากรในการวางแผนกำลังคนสุขภาพ ซึ่งประเทศไทยเพิ่มการผลิตพยาบาลตั้งแต่ปี 2535 เพื่อก้าวพ้นวิกฤต คือ มีเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 2 ต่อพัน หรือ 1 ต่อ 500 แต่เพราะมีปัญหาการจ้างงาน ทำให้พยาบาลออกจากอาชีพ ที่เหลืออยู่ก็รับภาระ 1 ต่อ 600 คน ต่ำกว่าภาวะวิกฤตที่องค์การอนามัยโลกกำหนด