ปัจจุบันเด็กส่วนใหญ่เมื่อมาโรงเรียนมักจะขาดแรงจูงใจในการเรียนรู้ เบื่อง่าย หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะเทคโนโลยีและชีวิตที่ทันสมัย สะดวกสบาย รวดเร็วทันใจ สื่อเหล่านี้หากใช้อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์จะเป็นภัยร้ายสำหรับเด็กๆ ได้ ทำให้สมองของเด็กด้อยถอยลง เราในฐานะพ่อแม่หากปั้นสมองของลูกไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้องจะมีผลเสียต่อลูกเป็นอย่างมาก ดังนี้
1. การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยโดยไม่ระวัง เกือบทุกครอบครัวใช้เทคโนโลยีให้เป็นเหมือนกับพี่เลี้ยงเด็กที่ไม่ต้องเสียเงิน แต่ในความจริงแล้วคำว่าไม่ต้องเสียเงินนั้น เป็นคำกล่าวที่ไม่ถูกต้อง เพราะเรากำลังทำให้เด็กสมองเสีย ขาดสมาธิ ระบบประสาทของเด็กมีปัญหา และความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กจะช้าลงเมื่อเปรียบเทียบกับพัฒนาการตามเกณฑ์เด็กปกติ อีกทั้งเด็กจะรู้สึกเบื่อหน่ายโรงเรียนเพราะได้รับการถูกกระตุ้นจากเสียง ภาพต่างๆ และการกระตุ้นสายตาจากสื่อเทคโนโลยีต่างๆ อยู่ตลอดเวลา และเมื่อต้องกลับมาอยู่ในสภาพความเป็นจริงในชั้นเรียนทำให้การเรียนรู้ช้าลง รู้สึกไม่ท้าทาย เพราะสมองของเด็กได้รับการกระตุ้นในระดับสูงมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม แสง สี และเสียงต่างๆ จึงทำให้ระดับความสามารถของสมองลดลง ผลที่ตามมาคือ กลายเป็นว่าการเรียนรู้ทางด้านวิชาการต่างๆในชั้นเรียนเป็นสิ่งที่ยาก ไม่สนุกสำหรับเด็ก
2. เด็กได้ทุกสิ่งทุกอย่างเร็วเกินไป ทำให้เด็กขาดความยับยั้งชั่งใจ เช่น เมื่อหิวก็สามารถยกหูโทรศัพท์สั่งได้ หรือเมื่อรู้สึกเบื่อก็จะใช้วิธียกมือถือขึ้นมาเล่นหรือดาวน์โหลดข้อมูลที่ต้องการทันที ไม่มีการอดทนรอคอย ซึ่งการอตทนและรอคอยนี้เป็นปัจจัยสำคัญทางกลไกของสมองที่จะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จในอนาคตได้ ความสุขชั่วคราวที่เด็กๆได้รับในทันทีเหล่านี้ จะเกิดผลร้ายในอนาคตมากกว่าผลดี เพราะเด็กไม่รู้จักการรอคอย ได้อะไรมาง่ายๆ ไม่เห็นคุณค่าจะส่งผลให้เด็กขาดสมาธิในการเรียนรู้ทางด้านวิชาการต่างๆ เพราะไม่สามารถรอคอยได้
3. สร้างเด็กให้เป็นใหญ่ เป็นผู้ตัดสินและมีอำนาจ คุณพ่อคุณแม่เอาใจและส่งเสริมลูกในสิ่งผิดๆ เช่น หากลูกไม่ชอบกินผัก ไม่ชอบเข้านอนแต่หัวค่ำ ไม่ชอบการออกกำลังกาย แต่ชอบและเก่งในการเล่นสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และเครื่องมือสื่อสารต่างๆ แต่ไม่รู้จักการช่วยเหลือตัวเอง เช่น การแต่งตัว ทานอาหารได้เอง สิ่งนี้เกิดจากการที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ใช้เวลากับลูก ปล่อยให้เครื่องมือสื่อสารเป็นพี่เลี้ยงดังที่กล่าวมาข้างต้น จนทำให้เด็กบางคนถึงกับไม่ได้รับสารอาหารที่ครบต่อร่างกาย ไม่ได้รับการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ เมื่อมาโรงเรียนเด็กจึงทำให้หงุดหงิด กระวนกระวายใจ ขาดสมาธิ ซึ่งเป็นการที่เรากำลังสร้างภัยร้ายให้กับลูกโดยไม่รู้ตัว
4. เล่นสนุกตลอดเวลาไม่มีคำว่าหยุด โดยให้ลูกทำกิจกรรมที่สนุกๆ ตลอดเวลา จากกิจกรรมนี้ไปกิจกรรมโน้น ไม่เคยให้เด็กช่วยรับผิดชอบงานบ้าน หรือไม่เคยรู้จักการเก็บของเมื่อเล่นเสร็จ การฝึกให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันจะเป็นการฝึกสมองให้รู้จักการทำงานที่มีขอบเขต อีกทั้งช่วยพัฒนาการทำงานของกล้ามเนื้อเล็กและกล้ามเนื้อใหญ่ให้เหมาะสมตามวัย เพื่อเตรียมการเมื่อเด็กมาโรงเรียนกล้ามเนื้อมือจะมีความพร้อมในการพัฒนาเรื่องของการเขียน หากเราปล่อยให้เด็กสนุกอยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีขีดจำกัด เมื่อเด็กไปโรงเรียนเด็กก็จะเบื่อในการเรียนและพูดว่ามันยากเกินไป ทำไม่ได้ เบื่อ ทำไมต้องทำ ดังนั้นการให้เด็กสนุกโดยมีเสรีภาพที่ไร้ขอบเขตเป็นสิ่งที่เป็นภัยต่อตัวเด็กอย่างยิ่ง
5. ขาดการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม คุณพ่อคุณแม่ในปัจจุบันส่วนใหญ่มักยุ่งอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเวลาให้กับลูกดังนั้นลูกจึงไม่มีโอกาสได้ออกไปสัมผัสธรรมชาติ หรือได้ออกไปเล่นนอกบ้าน ขาดการติดต่อสัมพันธ์ทางด้านสังคม เครื่องมือเทคโนโลยีต่างๆไม่ได้เป็นสิ่งที่จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทางด้านสังคมที่ดี ผลร้ายยังทำให้ขาดความเชื่อมั่น เก็บกด เข้ากับคนอื่นไม่ได้อีกด้วย
สมองเป็นกล้ามเนื้อที่ต้องได้รับการฝึกฝนและทำเป็นประจำ ถ้าเราต้องการให้ลูกของเราขี่จักรยานเราต้องสอนทักษะในการขี่จักรยานให้ลูก ถ้าต้องการให้ลูกรู้จักรอคอยเราต้องสอนความอดทนให้กับลูก ถ้าเราต้องการให้ลูกมีความสัมพันธ์ทางด้านสังคมเราต้องสอนทักษะทางด้านสังคมที่ดีให้กับลูก
เด็กจะประสบความสำเร็จได้ด้วยมือของพ่อแม่ที่คอยปั้นแต่งและให้กำลังใจ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวเสมอค่ะ