สบส. ลงตรวจคลินิกย่านเพลินจิต - ปทุมวัน หลังถูกอ้างพัวพันขน “อสุจิ” ข้ามประเทศ ชี้ ยังไม่พบความเชื่อมโยง ต้องรอผลตรวจสิ่งของในถังไนโตรเจนก่อน เป็น “อสุจิ - ไข่ - ตัวอ่อน” จริงหรือไม่ ย้ำหากใช่เอาผิดคนนำออก พร้อมสาวถึงเจ้าของ - คลินิก - เอเยนซี ไม่ฟันธงทำอุ้มบุญต่างประเทศ แต่มีความเป็นไปได้ แพทยสภาพร้อมฟัน “หมอ” หากพบเกี่ยวข้องจริง
จากกรณีด่านศุลกากรหนองคายและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดหนองคาย ร่วมกันจับกุมชายหนุ่มลอบขนถังไนโตรเจน ซึ่งภายในบรรจุหลอดใส่อสุจิ 6 หลอด ได้ที่ด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพ ไทย - ลาว เมื่อวันที่ 20 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยยอมรับว่า ได้รับการว่าจ้างจาก นายยู ลูกครึ่งไทย - ญี่ปุ่น ให้มาถังไนโตรเจนหมุนเวียนจากคลินิกใน กทม. 4 แห่ง เพื่อนำไปส่งให้คลินิกในลาว
วันนี้ (21 เม.ย.) เมื่อเวลา 11.30 น. นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย ทพ.อาคม ประดิษฐสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ สบส. และเจ้าหน้าที่ สบส. ร่วมกันดำเนินการตรวจสอบคลินิกด้านการช่วยเจริญพันธุ์ย่านเพลินจิตและปทุมวัน หลังผู้ถูกจับกุมอ้างว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนถังไนโตรเจน
นพ.ธงชัย กล่าวว่า เมื่อมีการอ้างชื่อ สบส. จึงลงพื้นที่มาตรวจสอบมาตรฐานคลินิก ซึ่งก็ยังไม่ได้พบความผิดใดๆ ซึ่งในส่วนของคลินิกย่านเพลินจิตนั้น ก็พบว่า มีการขึ้นทะเบียนถูกต้องและมีมาตรฐานในการเก็บน้ำเชื้ออสุจิ และยังไม่พบความเชื่อมโยงกับกรณีที่หนองคาย แต่จากการหารือกับแพทย์ประจำคลินิกแจ้งว่า ได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
เมื่อถามว่า การเข้าตรวจสอบอาจทำให้มีการเคลื่อนย้ายหลักฐานที่เชื่อมโยงกันหรือไม่ นพ.ธงชัย กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน เพราะหลักฐานทั้งหมดอยู่ที่ จ.หนองคาย ซึ่งต้องรอการตรวจสอบสิ่งที่บรรจุในถังไนโตรเจนก่อนว่า เป็นอสุจิ ไข่ หรือตัวอ่อนจริงหรือไม่ ซึ่งหากพบว่าใช่ แน่นอนว่า ผู้ที่นำออกจากประเทศถือว่ามีความผิดทันที ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีชข่วยการเจริญพันธุ์ พ.ศ. 2558 หรือ พ.ร.บ. อุ้มบุญ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จากนั้นจึงค่อยมาดูหลักฐานที่มีอยู่เชื่อมโยงไปถึงคนกลาง เอเยนซี ผู้ว่าจ้าง หรือสถานพยาบาลหรือไม่
“ยอมรับว่า การตรวจสอบไม่ใช่เรื่องง่ายว่า อสุจิ ไข่ หรือตัวอ่อน นั้น เป็นของใคร และมีการซื้อขายจริงหรือไม่ แต่หากพบว่า คนกลางมีการรับผลประโยชน์ หรือชี้ช่องทางให้มีการตั้งครรภ์แทน อย่างกรณีที่เกิดขึ้นมีการกล่าวอ้างถึงบุคคลที่เรียกว่า คุณยู ก็ต้องมาตรวจสอบว่าเป็นตัวแทนในการจัดส่งเรื่องนี้หรือไม่ หรือเป็นเอเยนซี ก็จะมีความผิดตาม พ.ร.บ. อุ้มบุญ โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ หากมีการโยงมาถึงสถานพยาบาล ก็จะตรวจสอบว่าทำตามกฎหมายและทำตามมาตรฐานหรือไม่ มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเคลื่อนย้ายถังไนโตรเจนบรรจุอสุจิเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะเป็นการนำออกไปเพื่อทำอุ้มบุญยังต่างประเทศ เพราะไทยมีกฎหมายเข้มงวด นพ.ธงชัย กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ แต่กฎหมายก็ระบุไว้แล้วว่า ไม่สามารถนำไข่ อสุจิ หรือตัวอ่อนออกนอกประเทศ ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านของไทยยังไม่มีกฎหมายลักษณะนี้ จะมีก็เพียงแค่จีนและสิงคโปร์ และอาจเพราะไทยมีศักยภาพในเรื่องเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์มากกว่า อย่างไรก็ตาม กรณีที่หนองคายยังไม่ทราบว่าเป็นการนำอสุจิไปทำอุ้มบุญจริงหรือไม่ เพราะยังไม่ได้รับการยืนยันว่า ถังไนโตรเจนเป็นเชื้ออสุจิ
ด้าน ทพ.อาคม กล่าวว่า ขณะนี้ต้องรอหลักฐานจากทางพื้นที่ก่อนว่า เป็นอสุจิ ไข่ ตัวอ่อนหรือเป็นอะไร ซึ่งขณะนี้มีการส่งไปตรวจสอบที่ขอนแก่น ซึ่งหากพบว่าเป็นหนึ่งใน 3 อย่าง ก็จะส่งหลักฐานต่อมายัง สบส. เพื่อตรวจสอบหาต้นทางที่ส่งไป ซึ่งสามารถดูได้จากโอพีดีการ์ดในถังไนโตรเจน ซึ่งจะระบุชื่อเจ้าของ มารักษาด้วยอาการอะไร ช่วงไหน เวลาไหน และทราบว่าเป็นคลินิกไหน ก็จะทำให้เข้าไปตรวจสอบเพื่อดำเนินการต่อไปได้
ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา นายกแพทยสภา กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าในถังไนโตรเจนเป็นอสุจิ ไข่ หรือตัวอ่อน หรือไม่ หากตรวจพิสูจน์แล้วว่าเป็นจริงถือว่าผิดกฎหมาย แพทย์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดนแน่นอน ซึ่งนอกจากผิดกฎหมายแล้วก็จะผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพด้วย อาจจะต้องเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม
เมื่อถามว่า มีข้อมูลปรากฏว่าเคยมีคลินิกที่เคยทำผิดเกี่ยวกับการทำอุ้มบุญมาก่อนด้วยถือว่าโทษต้องรุนแรงขึ้นหรือไม่ นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าทำผิดแม้ครั้งเดียวก็ผิด เป็นการเจตนา จงใจกระทำผิด ก็ถือว่าเป็นโทษร้ายแรง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังต้องมีการตรวจสอบก่อน
นพ.สมชายโชติ ปิยวัชว์เวลา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดหนองคาย กล่าวว่า สบส.ได้แจ้งว่าให้ทำการส่งถังไนโตรเจนไปตรวจกับทางโรงพยาบาลขอนแก่น จ.ขอนแก่น แทนที่จะส่งไปตรวจที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เนื่องจากโรงพยาบาลขอนแก่น ใกล้กว่าและมีเครื่องมือที่สามารถทำการตรวจได้ และขณะนี้อยู่ระหว่างการขนส่งถังไนโตรเจนไปให้กับโรงพยาบาลขอนแก่น อย่างไรก็ตามคาดว่าจะทราบผลตรวจภายใน 1 สัปดาห์