“ป้าหมอ” ชี้ โฆษณานมผงเด็ก 1 - 3 ปี ทำเลี้ยงลูกด้วย “นมแม่” ลดลง ย้ำร่าง กม. คุมการตลาดนมผง ต้องครอบคลุมถึงอาหารเด็กเล็ก ยันไม่จำกัดสิทธิการเข้าถึงข้อมูลของพ่อแม่ เหตุเด็กอายุเกิน 1 ปี กินนมกล่องยูเอชทีได้เลย ไม่ต้องพึ่งนมผงราคาแพง แถมสารอาหารลดลง
จากกรณีเครือข่ายกุมารแพทย์ นำโดย ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ คณะกรรมาธิการสาธารณสุข (กมธ.สธ.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และ อดีตประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ยื่นหนังสือถึงประธาน สนช. เพื่อทักท้วงร่าง พ.ร.บ. ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ. ... ที่ไม่ควรควบคุมการโฆษณาอาหารสำหรับเด็กเล็กอายุ 1-3 ปี เพราะจำกัดสิทธิพ่อแม่ในการเข้าถึงข้อมูลโภชนาการ และไม่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แต่อย่างใด
พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ด้านทารกแรกเกิด รพ.บีเอ็นเอช ในฐานะคณะอนุกรรมการเว็บไซต์ศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย หรือ “ป้าหมอ” กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การควบคุมผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับเด็กเล็ก 1 - 3 ปี ส่งผลต่อการเพิ่มการกินนมแม่แน่นอน เพราะมีข้อมูลวิจัยแน่ชัดทั้งจากยูนิเซฟ องค์การอนามัยโลกอย่างชัดเจน ว่า การโฆษณาของผลิตภัณฑ์นมสำหรับเด็กเล็กเกิน 1 ปีขึ้นไป ทำให้อัตราการให้นมแม่ลดลง เพราะมีการโฆษณาในโทรทัศน์หลาย 10 รอบต่อวัน ว่า ช่วยให้เด็กอัจฉริยะ แม่ก็จะเกิดความรู้สึกว่าจะให้นมแม่ไปทำไม เพราะหากให้นมผงเด็กก็ฉลาด ซึ่งเหล่านี้ถือเป็นการโฆษณาเกินจริงทั้งหมด และไม่มีงานวิจัยใดมารองรับว่าสารต่างๆ ที่ใส่ลงไปเพิ่มในนมผงจะช่วยให้เด็กฉลาดได้จริง จึงต้องมีการควบคุมตรงนี้
“ทุกวันนี้จะเห็นชัดเจนเลยว่ามีการนำเด็กอายุมากกว่า 3 ขวบมาโฆษณาว่ากินนมผงแล้วจะทำให้ฉลาดไปถึงนาซ่า พูดได้หลายภาษา ซึ่งก็จูงใจให้ซื้อแล้ว หากกฎหมายยังหย่อนยานปล่อยให้เหลือควบคุมเพียงอาหารสำหรับทารกแค่ 1 ปี ต่อไปก็จะเห็นเด็กอายุ 1 ขวบกว่าใส่ผ้าอ้อมมาโฆษณาว่าสามารถไปนาซา พูดได้ 4 - 5 ภาษา ซึ่งก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่ออัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มากยิ่งขึ้น ซึ่งตรงนี้เป้นจุดประสงค์ที่ชัดเจนของบริษัทนมผงอยู่แล้ว ดังนั้น กฎหมายจึงต้องยืนหยัดอยู่ที่การควบคุมจนถึง 3 ปี” พญ.สุธีรา กล่าว
พญ.สุธีรา กล่าวว่า เด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 เดือน ต้องกินนมแม่เพียงอย่างเดียว ซึ่งแม่ 10 คน จะมีปัญหาให้นมลูกไม่ได้ประมาณ 1 คนเท่านั้น ที่เหลือหากกระตุ้นโดยเอาเด็กเข้าเต้าตั้งแต่ช่วงชั่วโมงแรกๆ หลังคลอด และให้ดูดบ่อยๆ ก็จะยิ่งกระตุ้นให้น้ำนมไหล แต่หากมีการชงนมให้เด็กกิน เด็กก็จะอิ่มไม่ยอมดูดนมจากเต้า และนมแม่จะไหลช้ากว่า เด็กก็จะหงุดหงิดไม่ยอมดูดนมแม่ ซึ่งเมื่อก่อนบริษัทนมผงจะใช้กลยุทธ์เช่นนี้ในการเข้าหาโรงพยาบาล ซึ่งในกฎหมายก็มีการห้ามชัดเจน ส่วนแม่ที่ให้นมลูกไม่ได้ ก็จะมีนมผงดัดแปลงสำหรับทารกอายุต่ำกว่า 1 ปี ซึ่งจะมีการย่อยโมเลกุลโปรตีนให้เล็กลง เพื่อให้เด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบสามารถกินได้ เพราะหากให้กินนมกล่องธรรมดาก็จะทำให้เด็กป่วย เนื่องจากยังย่อยโปรตีนที่มีมากไม่ได้ ส่วนเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป นมแม่อย่างเดียวไม่จะเพียงพอ ต้องกินอาหารหลัก กินข้าว จาก 1 มื้อ เป็น 2 และ 3 มื้อตามวัย โดยควบคู่กับนมแม่ ซึ่งสามารถกินไปได้ถึง 2 ขวบหรือนานกว่านั้น หรือจนกว่าเด็กจะหยุดนมไปเอง และเมื่ออายุ 1 ปีขึ้นไปก็สามารถรับประทานนมกล่องยูเอชทีได้เลย ไม่จำเป็นต้องไปใช้นมผง ซึ่งในต่างประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาก็แนะนำเช่นนี้ การห้ามโฆษณาจึงไม่ใช่การจำกัดสิทธิเข้าถึงข้อมูลของพ่อแม่ เพราะนมผงเหล่านี้ไม่ได้จำเป็นเลย
“นมผงก็คือการนำนมวัวมาแปรรูปเพื่อให้เก็บรักษาได้นานขึ้น ซึ่งการแปรรูปผ่านความร้อนต่างๆ ก็ทำให้สารอาหารต่างๆ ลดลง เช่น วิตามินต่างๆ ที่ไม่เสถียรต่อความร้อน แต่กลับมาขายในราคาแพง ทังที่สารอาหารลดลง เลยมีการเติมสารต่างๆ ลงไป แล้วมาทำการโฆษณา เพื่อให้ดูว่ามีมูลค่าสมราคาที่แพงขึ้น โดยไม่มีใครระแวงเลยว่า จริงๆ แล้วนมผงมีราคาแพงนั้นเพราะอะไร นอกจากนี้ สารที่เติมลงไปนั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์อย่างแท้จริง อย่าง “ดีเอชเอ” ที่บอกว่ามีในนมแม่ แต่ดีเอชเอที่สังเคราะห์ในนมผงเป็นคนละตัวกับนมแม่ เพราะสังเคราะห์มาจากสาหร่ายและเชื้อรา แล้วไปจ้างนักวิชาการมาพูดถึงประโยชน์ของดีเอชเอในนมแม่ คนก็จะคิดเองว่านมนี้มีดีเอชเอก็คิดว่าดีเท่านมแม่ เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่านมผงที่ออกมาบอกว่าสำหรับเด็กอายุ 1 ปี 2 ปี 3 ปี นั้นไม่จำเป็นเลย เพราะสารอาหารก็น้อยกว่าแต่ราคาแพงกว่า ซึ่งนมผงพวกนี้เหมาะจะเอาไว้ตุนในยามเกิดสงครามหรือภาวะขาดแคลนมากกว่า เพราะสามารถเก็บได้นาน 1 - 3 ปี แต่เด็กอายุเกินกว่า 1 ปีก็ดื่มนมกล่องได้เลย ไม่จำเป็นต้องใช้นมผง” พญ.สุธีรา กล่าว
พญ.สุธีรา กล่าวว่า ส่วนข้อเสนอที่ว่าให้ อย.ไปออกประกาศห้ามทำผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กเล็กเหมือนกับทารก ในความเป็นจริงก็สามารถแยกได้ยากอยู่ดี เพราะมีการตั้งชื่อให้คล้ายกัน รูปแบบก็คล้ายกัน และหากไม่ออกกฎหมายห้ามโฆษณาไปเลย แต่ให้ อย. ช่วยสกรีนการโฆษณาก็เป็นไปได้ยาก ก็จะเหมือนเป็นแมวไล่จับหนูที่จับเท่าไรก็ไม่มีวันหมด ไหนจะมีการโฆษณาผ่านทางโซเชียลอีก ดูได้จากผลิตภัณฑ์อกฟูรุฟิต พวกนี้ไล่จับเท่าไรก็ไม่หมด ดังนั้น การออกกฎหมายโดยควบคุมจนถึง 3 ปี เพื่อช่วยปิดช่องสิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่เป็นกลยุทธ์ของบริษัทนมผง เพราะหากลดมาตรการลงเหลือเพียง 1 ปีก็จะเข้าทางบริษัทนมผง