สบส. เผย รพ. และคลินิกเอกชน ขอเปิดบริการ “หน่วยไตเทียม” มากขึ้น รองรับคนไทยป่วยโรคไตมากขึ้น ชี้ ต้องดำเนินการตามมาตรฐาน เวลาเปิดบริการต้องไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง บุคลากร สถานที่ เครื่องมือ ระบบควบคุมติดเชื้อ ระบบฉุกเฉิน ต้องครบถ้วนได้มาตรฐาน
นพ.วิศิษฎ์ ตั้งนภากร อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้สถานพยาบาลเอกชน ทั้งโรงพยาบาลและคลินิก มีแนวโน้มมาขอขึ้นทะเบียนเปิดคลินิกไตเทียมมากขึ้น เนื่องจากคนไทยมีปัญหาเกี่ยวกับโรคไตวายมากขึ้นและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ คลินิก หรือ รพ.เอกชนที่จะขอเปิดบริการหน่วยไตเทียม สามารถขอเปิดให้บริการเวลาใดก็ได้ แต่จะต้องมีเวลาให้บริการติดต่อกันไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานของการฟอกเลือดผู้ป่วยจะต้องใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงต่อคน หากเวลาน้อยกว่านี้จะไม่ได้รับอนุญาต และทุกแห่งจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย คือ ประกาศเรื่องไตเทียม ตามมาตรา 15 แห่ง พ.ร.บ. สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 เพื่อเป็นไปตามมาตรฐานทั้งเรื่องบุคลากร สถานที่ซึ่งต้องเป็นเขตกึ่งปลอดเชื้อ เนื่องจากผู้ป่วยประเภทนี้มีภูมิต้านทานโรคต่ำ มีโอกาสติดเชื้อง่าย มีเครื่องมือเพียงพอ มีระบบน้ำกรองที่ได้มาตรฐาน ระบบการควบคุมการติดเชื้อ และระบบบริการผู้ป่วยฉุกเฉินครบถ้วน เพื่อคุ้มครองผู้ป่วยโรคไตให้ได้รับการดูแลที่มีคุณภาพ ปลอดภัยภายใต้มาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ
“ผู้ได้รับอนุญาตและผู้ดำเนินการสถานพยาบาล จะต้องจัดให้มีผู้ประกอบวิชาชีพ คือต้องมีแพทย์เฉพาะทางที่ได้รับวุฒิบัตรจากแพทยสภา ในสาขาอายุรศาสตร์โรคไตในผู้ใหญ่หรือเด็ก หรือเป็นแพทย์ที่ผ่านการอบรมการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมจากสถาบันที่คณะกรรมการสถานพยาบาลรับรอง จำนวน 1 คน และกำหนดให้จัดพยาบาลวิชาชีพที่ผ่านการอบรมการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมจากสถาบันที่คณะกรรมการสถานพยาบาลรับรอง จำนวน 1 คน และมีพยาบาลวิชาชีพเป็นผู้ช่วยปฏิบัติงานอีก 1 คน ต่อผู้ป่วยที่รับบริการฟอกเลือด 4 คน” นพ.วิศิษฎ์ กล่าว
นพ.วิศิษฎ์ กล่าวว่า สำหรับเครื่องไตเทียมจะต้องได้มาตรฐาน มีคู่มือประจำเครื่อง มีระบบบำรุงรักษาเครื่อง โดยเฉพาะการดูแลตัวกรองเลือด (Dialyzer Reprocessing) จะต้องมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูงสุด มีระบบทำน้ำบริสุทธิ์ที่ได้มาตรฐาน มีเครื่องมือ ยา และเวชภัณฑ์ เพื่อใช้กู้ชีพในภาวะฉุกเฉินให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานตลอดเวลา ในกรณีที่เป็นคลินิกเฉพาะทางด้านเวชกรรมไตเทียม จะต้องมีระบบการเคลื่อนย้ายและส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินไปยังโรงพยาบาลที่มีบริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมตามที่ได้มีข้อตกลงกันไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลต่อเนื่อง และต้องมีระบบการควบคุมการติดเชื้อตามมาตรฐานการควบคุมการติดเชื้อ โดยให้ทุกแห่งลงทะเบียนบันทึกข้อมูลของผู้ป่วยระหว่างที่ได้รับการรักษาทุกรายด้วย