โดย...ผศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
นโยบายการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าทันสมัย สู่ยุค 4.0 ที่กำลังกล่าวถึงกันมากในขณะนี้ อาจจะมีการตีความได้ต่างๆ นานา ว่าคืออะไร จึงขอร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องนี้ ว่า สังคมที่พึงปรารถนา คือ สังคมที่มีตลาดเขียวเต็มประเทศ และตลาดเขียวเทศบาลนครขอนแก่น เป็นต้นแบบสังคมไทย 4.0 แห่งหนึ่งที่คนไทยควรศึกษา
ถ้าเป้าหมายของการพัฒนาสังคมไทย คือ การทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีความมั่งคั่ง มีความมั่นคงปลอดภัย และอยู่ได้อย่างยั่งยืน ไม่สะดุดขาตัวเองล้มไปเสียก่อน ดังเข็มมุ่งที่รัฐบาลประกาศไว้ ก็มีเรื่องที่น่าตกใจมากเมื่อเห็นตัวเลขสถิติการป่วยการตายของคนไทย ดังต่อไปนี้
ปัจจุบันคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งสูงสุด “เป็นอันดับหนึ่ง” มามากกว่า 10 ปีแล้ว เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จาก 53,434 คน ในปี พ.ศ. 2550 เป็น 70,075 คน ในปี พ.ศ. 2557 ดังภาพที่ 1
ผู้ป่วยฐานะดีที่ผมรู้จักท่านหนึ่งบอกว่า “อุตส่าห์หาเงินมาทั้งชีวิต เมื่อป่วยเป็นโรคมะเร็งขึ้นมาจึงสำนึกได้ว่า สุขภาพสำคัญที่สุด”
ความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นเมื่อป่วยเป็นมะเร็งนั้นแสนสาหัส ทั้งตัวผู้ป่วยเองและบุคคลในครอบครัว ในขณะที่รายได้มีแต่จะหดหายเพราะทำงานหาเงินไม่ได้ กลับมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นตามมาอีกมากมาย
ราคาค่ายารักษาโรคมะเร็งบางตัวในปัจจุบันเพิ่มขึ้นไปถึงปีละหนึ่งล้านห้าแสนบาท ถ้าคำนวณโดยคิดเพียงครึ่งราคา คือ เจ็ดแสนบาท คูณกับจำนวนคนที่เป็นโรคมะเร็งหนึ่งแสนคน (ประมาณการณ์แบบต่ำ) จะใช้เงินรักษาโรคนี้โรคเดียวเป็นจำนวนมากถึงเจ็ดหมื่นล้านบาทต่อปี
ระบบประกันสุขภาพใดๆก็ไม่อาจจะให้ความคุ้มครองได้ จึงจะมีเพียงบางคนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึงยานี้
เมื่อป่วยแล้ว ความมั่งคั่งก็หดหายไป ไม่มีความยั่งยืนเหลืออยู่ ทั้งของตนเองและของลูกหลาน และของประเทศชาติในที่สุด เงินค่ายาไหลออกนอกประเทศ เหมือนเลือดไหลออกจากร่างกายไม่หยุด
การป้องกันไม่ให้คนไทยป่วยเป็นโรคมะเร็งจึงเป็นภาระรับผิดชอบที่สำคัญของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
แนวทางการป้องกันโรคมะเร็งที่ได้ผลดีประการหนึ่ง คือ การมีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนได้กินอาหารปลอดสารเคมี มีคุณค่าทางโภชนาการ และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำลายเซลล์มะเร็ง ยับยั้งเซลล์มะเร็งต้นกำเนิด ที่กำลังเริ่มก่อตัว ตั้งแต่ระยะแรกๆ ดังเช่น ปัจจุบันมีการวิจัยค้นพบว่า ขมิ้นชัน ผัก ผลไม้หลายชนิดและเครื่องเทศต่างๆ มีฤทธิ์ในการป้องกันและรักษาโรคมะเร็งได้ดี (http://bit.ly/2lMwYWS) (http://bit.ly/2mwdNyJ) (http://bit.ly/2iDrwUs)
จึงเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เมื่อเทศบาลนครขอนแก่นร่วมกับภาคีเครือข่ายและภาคประชาสังคม จัดตั้งตลาดเขียวขึ้นมา เพราะเป็นแหล่งจำหน่ายอาหารที่มีคุณลักษณะดังกล่าวครบถ้วน
ที่น่าสนใจมากคือ มีการจัดกิจกรรมให้ผู้บริโภคไปเยี่ยมเยียนสมาชิกตลาดเขียวที่แปลงปลูกถึงบ้าน ไปเรียนรู้วิถีชีวิต ความลำบากที่ต้องเผชิญกว่าจะผลิตอาหารดีๆ มาเลี้ยงคนเมืองได้ เกิดความเห็นอกเห็นใจกัน ผู้บริโภคเต็มใจที่จะจ่ายในราคาที่สูงกว่าปกติ สนับสนุนให้อยู่ได้ เสมือนเป็นญาติคนหนึ่ง นี่คือสังคมแบบใหม่ ที่ไม่ใช่แค่การซื้อขายสินค้าแบบทั่วไป
ตลาดเขียวเทศบาลนครขอนแก่นจึงเป็นต้นแบบสังคมไทย 4.0 ที่น่าศึกษาติดตามให้กำลังใจ และส่งเสริมให้ขยายตัว ดำเนินการในพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศไทย
เพื่อสร้างสังคมไทย ที่มีความมั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน อย่างแท้จริง
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
นโยบายการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าทันสมัย สู่ยุค 4.0 ที่กำลังกล่าวถึงกันมากในขณะนี้ อาจจะมีการตีความได้ต่างๆ นานา ว่าคืออะไร จึงขอร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องนี้ ว่า สังคมที่พึงปรารถนา คือ สังคมที่มีตลาดเขียวเต็มประเทศ และตลาดเขียวเทศบาลนครขอนแก่น เป็นต้นแบบสังคมไทย 4.0 แห่งหนึ่งที่คนไทยควรศึกษา
ถ้าเป้าหมายของการพัฒนาสังคมไทย คือ การทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีความมั่งคั่ง มีความมั่นคงปลอดภัย และอยู่ได้อย่างยั่งยืน ไม่สะดุดขาตัวเองล้มไปเสียก่อน ดังเข็มมุ่งที่รัฐบาลประกาศไว้ ก็มีเรื่องที่น่าตกใจมากเมื่อเห็นตัวเลขสถิติการป่วยการตายของคนไทย ดังต่อไปนี้
ปัจจุบันคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งสูงสุด “เป็นอันดับหนึ่ง” มามากกว่า 10 ปีแล้ว เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จาก 53,434 คน ในปี พ.ศ. 2550 เป็น 70,075 คน ในปี พ.ศ. 2557 ดังภาพที่ 1
ผู้ป่วยฐานะดีที่ผมรู้จักท่านหนึ่งบอกว่า “อุตส่าห์หาเงินมาทั้งชีวิต เมื่อป่วยเป็นโรคมะเร็งขึ้นมาจึงสำนึกได้ว่า สุขภาพสำคัญที่สุด”
ความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นเมื่อป่วยเป็นมะเร็งนั้นแสนสาหัส ทั้งตัวผู้ป่วยเองและบุคคลในครอบครัว ในขณะที่รายได้มีแต่จะหดหายเพราะทำงานหาเงินไม่ได้ กลับมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นตามมาอีกมากมาย
ราคาค่ายารักษาโรคมะเร็งบางตัวในปัจจุบันเพิ่มขึ้นไปถึงปีละหนึ่งล้านห้าแสนบาท ถ้าคำนวณโดยคิดเพียงครึ่งราคา คือ เจ็ดแสนบาท คูณกับจำนวนคนที่เป็นโรคมะเร็งหนึ่งแสนคน (ประมาณการณ์แบบต่ำ) จะใช้เงินรักษาโรคนี้โรคเดียวเป็นจำนวนมากถึงเจ็ดหมื่นล้านบาทต่อปี
ระบบประกันสุขภาพใดๆก็ไม่อาจจะให้ความคุ้มครองได้ จึงจะมีเพียงบางคนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึงยานี้
เมื่อป่วยแล้ว ความมั่งคั่งก็หดหายไป ไม่มีความยั่งยืนเหลืออยู่ ทั้งของตนเองและของลูกหลาน และของประเทศชาติในที่สุด เงินค่ายาไหลออกนอกประเทศ เหมือนเลือดไหลออกจากร่างกายไม่หยุด
การป้องกันไม่ให้คนไทยป่วยเป็นโรคมะเร็งจึงเป็นภาระรับผิดชอบที่สำคัญของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
แนวทางการป้องกันโรคมะเร็งที่ได้ผลดีประการหนึ่ง คือ การมีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนได้กินอาหารปลอดสารเคมี มีคุณค่าทางโภชนาการ และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำลายเซลล์มะเร็ง ยับยั้งเซลล์มะเร็งต้นกำเนิด ที่กำลังเริ่มก่อตัว ตั้งแต่ระยะแรกๆ ดังเช่น ปัจจุบันมีการวิจัยค้นพบว่า ขมิ้นชัน ผัก ผลไม้หลายชนิดและเครื่องเทศต่างๆ มีฤทธิ์ในการป้องกันและรักษาโรคมะเร็งได้ดี (http://bit.ly/2lMwYWS) (http://bit.ly/2mwdNyJ) (http://bit.ly/2iDrwUs)
จึงเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เมื่อเทศบาลนครขอนแก่นร่วมกับภาคีเครือข่ายและภาคประชาสังคม จัดตั้งตลาดเขียวขึ้นมา เพราะเป็นแหล่งจำหน่ายอาหารที่มีคุณลักษณะดังกล่าวครบถ้วน
ที่น่าสนใจมากคือ มีการจัดกิจกรรมให้ผู้บริโภคไปเยี่ยมเยียนสมาชิกตลาดเขียวที่แปลงปลูกถึงบ้าน ไปเรียนรู้วิถีชีวิต ความลำบากที่ต้องเผชิญกว่าจะผลิตอาหารดีๆ มาเลี้ยงคนเมืองได้ เกิดความเห็นอกเห็นใจกัน ผู้บริโภคเต็มใจที่จะจ่ายในราคาที่สูงกว่าปกติ สนับสนุนให้อยู่ได้ เสมือนเป็นญาติคนหนึ่ง นี่คือสังคมแบบใหม่ ที่ไม่ใช่แค่การซื้อขายสินค้าแบบทั่วไป
ตลาดเขียวเทศบาลนครขอนแก่นจึงเป็นต้นแบบสังคมไทย 4.0 ที่น่าศึกษาติดตามให้กำลังใจ และส่งเสริมให้ขยายตัว ดำเนินการในพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศไทย
เพื่อสร้างสังคมไทย ที่มีความมั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน อย่างแท้จริง