xs
xsm
sm
md
lg

เด็กไทยแก้มใส แก้วิกฤต “อ้วน-เตี้ย-ผอม-โง่”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


แม้ปัจจุบันเด็กไทยจะไม่เจอปัญหาภาวะขาดโภชนาการเช่นในอดีต แต่จากพฤติกรรมการกิน และพฤติกรรมเนือยนิ่ง กลับส่งผลให้เด็กไทยเจอปัญหา “อ้วน” แทน ซึ่งจากข้อมูลของกรมอนามัยเมื่อปี 2555 พบว่า เด็กไทยอ้วนถึงร้อยละ 12.5 นอกจากนี้ ยังเผชิญกับปัญหา “เตี้ย” ร้อยละ 17 และ “ผอม” อีกร้อยละ 6

ที่สำคัญ เด็กที่เตี้ยและผอม มักพบว่าจะมีสติปัญญาด้อย เรียนรู้ช้า ภูมิต้านทานโรคต่ำ ติดเชื้อได้ง่าย ขณะที่เด็กอ้วนเสี่ยงกับการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เรียกได้ว่า “เด็กไทย” ยุคนี้ต้องเผชิญกับวิกฤต “อ้วน - เตี้ย - ผอม - โง่” แทน

การพัฒนาประเทศชาติ จุดเริ่มต้นต้องมาจากการสร้างเด็กที่ดีมีคุณภาพก่อน โดยเฉพาะเรื่องของอาหาร โภชนาการและสุขภาพ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงให้ความสำคัญมาโดยตลอด และทรงพระราชทานแนวทางแก้ปัญหานี้มานานแล้วกว่า 30 ปี จากโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน เพื่อแก้ปัญหาภาวะโภชนาการของเด็กชายแดนให้มีภาวะโภชนาการที่ดีขึ้น จนนำมาสู่การถอดบทเรียนและพัฒนาเป็น “โครงการเด็กไทยแก้มใส” ในที่สุด

นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมวิถีสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า โครงการเด็กไทยแก้มใส เป็นการถอดบทเรียนจากโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน นำมาสู่การพัฒนาการดูแลโภชนาการและสุขภาพของนักเรียน ที่สามารถช่วยแก้ปัญหาเด็กไทยอ้วน เตี้ย ผอม และโง่ลงได้ โดยมีการดำเนินการ 8 องค์ประกอบ ดังนี้ 1. การเกษตรในโรงเรียน 2. สหกรณ์นักเรียน 3. การจัดบริการอาหารของโรงเรียน 4. การติดตามภาวะโภชนาการ 5. การพัฒนาสุขนิสัยของนักเรียน 6. พัฒนาอนามัยสิ่งแวดล้อมของโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ 7. การจัดบริการสุขภาพ และ 8. การจัดบการเรียนรู้เชื่อมโยง เกษตร อาหาร โภชนาการ สุขภาพ

“โครงการแก้มใสเรียกได้ว่า เป็นการจัดระบบให้แก่โรงเรียนในการดูแลสุขภาพของเด็กแบบองค์รวม โดยอาศัยการเกษตรในโรงเรียน เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้วิธีการปลูกผัก เรียนรู้การเป็นเกษตรกร และนำผลผลิตที่ได้ไปขายให้แก่สหกรณ์นักเรียน ซึ่งเป็นการลงหุ้นกันระหว่างนักเรียน และเมื่อซื้อวัตถุดิบมาแล้วก็นำไปขายต่อให้แก่โรงครัวของโรงเรียนในการนำไปปรุงอาหารตามหลักโภชนาการ และให้โรงเรียนมีการติดตามภาวะโภชนาการเป็นอย่างไร ปัญหาอ้วน เตี้ย ผอม ดีขึ้นหรือไม่ ส่วนเรื่องสุขภาพอย่างอื่นนั้นก็จะมีการพัฒนาสุขนิสัยของนักเรียน เช่น การล้างมือ การแปรงฟัน การออกกำลังกาย เป็นต้น รวมถึงการพัฒนาอนามัยและสิ่งแวดล้อม การจัดบริการสุขภาพต่างๆ” นพ.ไพโรจน์ กล่าว

โครงการเด็กไทยแก้มใส เริ่มต้นในปี 2557 นำร่องในโรงเรียน 544 แห่งทั่วประเทศ จากการดำเนินงานมา 3 ปี พบว่า สามารถช่วยแก้ปัญหาให้นักเรียนได้ โดย นพ.ไพโรจน์ ระบุว่า จากการประเมินผลการดำเนินงาน พบว่า นักเรียนที่ร่วมโครงการเด็กไทยแก้มใส มีความอ้วนลดลง เด็กผอมก็มีรูปร่างที่สมส่วนขึ้น มีส่วนสูงตามเกณฑ์ ขณะที่ผลการสอบและการเรียนก็ดีกว่านักเรียนที่ไม่อยู่ในโครงการ

“ขณะนี้มีโรงเรียนที่เตรียมเป็นศูนย์เรียนรู้ต้นแบบโรงเรียนเด็กไทยแก้มใสจำนวนกว่า 120 โรง โดย ร.ร.แพรกษาวิเทศศึกษา ถือเป็นโรงเรียนแห่งแรกที่เปิดเป็นศูนย์เรียนรู้ฯ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ ศึกษา และถ่ายทอดประสบการณ์ให้แก่โรงเรียนอื่นๆ ซึ่งตั้งเป้าว่าจะขยายโครงการเด็กไทยแก้มใสในโรงเรียนอีกกว่า 30,000 แห่ง เพื่อให้เด็กไทยเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ” นพ.ไพโรจน์ กล่าว

ตัวอย่างหนึ่งของโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานโครงการเด็กไทยแก้มใส คือ โรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา จ.สมุทรปราการ ที่ได้รับการเปิดตัวเป็นศูนย์เรียนรู้ฯ แห่งแรกของประเทศ โดย นายภาคินัย สุนทรวิภาค ผอ.ร.ร.แพรกษาวิเทศศึกษา เล่าว่า จุดเด่นของการดำเนินงานโครงการเด็กไทยแก้มใส คือ การบูรณาการการทำงานระหว่างโรงเรียน ครอบครัว และชุมชนได้ เพราะแม้โรงเรียนจะดูแลภาวะโภชนาการของเด็กดีตามโครงการ แต่จะประสบความสำเร็จไม่ได้ หากพ่อแม่ หรือชุมชนไม่ร่วมมือด้วย ยกตัวอย่าง เด็กกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพในโรงเรียน กินผัก ไม่กินขนามกรุบกรอบ หรือน้ำอัดลม แต่ที่บ้านเราควบคุมไม่ได้ ตรงนี้พ่อแม่จึงมีส่วนสำคัญ

นายภาคินัย กล่าวอีกว่า แต่การดำเนินโครงการเด็กไทยแก้มใส จะช่วยแก้ปัญหานี้ เพราะดึงพ่อแม่เข้ามามีส่วนร่วม อย่างเรื่องการเกษตรในโรงเรียน นอกจากจะช่วยให้นักเรียนให้ความสำคัญกับการปลูกผักว่าเป็นอาชีพและเห็นคุณค่าของผักแล้ว ยังส่งเสริมให้เขากินผักเองด้วย เพราะเป็นผักที่ปลูกเองก็จะมีความภูมิใจ ก็จะกินผักที่ตนเองปลูกเอง ขณะเดียวกัน เด็กก็จะให้พ่อแม่กินผักด้วย เพราะเป็นผักที่ลูกปลูก เรียกได้ว่า ส่งเสริมภาวะโภชนาการทั้งนักเรียนและครอบครัว ขณะที่สหกรณ์ก็รับซื้อผลผลิตของนักเรียนและขายต่อโรงครัว เงินที่ขายได้ก็ปันผลให้นักเรียนเจ้าของหุ้นนำไปซื้อเมล็ดพันธุ์มาปลูกเพื่อขายอีก ขณะที่โรงครัวก็จะปรุงอาหารที่เป็นเมนูเพื่อสุขภาพ ตามหลักโภชนาการ โดยอาศัยโปรแกรมไทยสคูลลันช์ ให้นักเรียนรับประทาน ซึ่งทางพ่อแม่ของเด็กจะทราบล่วงหน้าว่าสัปดาห์หน้าโรงเรียนจะทำเมนูอะไรให้ลูกรับประทาน

“ในการแก้ปัญหาเด็กอ้วน เราจะมีการจัดสลิมโซน สำหรับเด็กอ้วน ให้กินแต่ปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อช่วยลดน้ำหนัก ขณะที่เด็กผอมหากไม่อิ่มก็จะสามารถเติมได้ แต่การจัดปริมาณอาหารให้เด็ก เราจะตักให้ไม่มาก เพราะอยากให้เด็กกินให้หมด เพราะหากเด็กตักเองจะตักมากแล้วอาารจะเหลือ จึงตักให้แต่พอดี หากไม่เพียงพอก็จะยกมือบอกครู นอกจากนี้ ยังปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของเด็กด้วย โดยเน้นเรื่องของการล้างมือ การแปรงฟัน ซึ่งการให้เด็กทำซ้ำๆ ทุกวันต่อเนื่องเกิน 1 เดือน จะทำให้กลายเป็นนิสัยได้ในที่สุด และจากการดำเนินการมาทั้งหมดของโครงการ ช่วยให้นักเรียนอ้วนน้อยลง การเจ็บป่วยน้อย และเมื่อสุขภาพกายดี สุขภาพจิตดี ผลการเรียนก็ดีขึ้น” ผอ.ร.ร.แพรกษาวิเทศศึกษา กล่าว

ด.ช.อัยยากานต์ โนนศรี หรือ น้องไอซ์ อายุ 8 ขวบ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ร.ร.แพรกษาวิเทศศึกษา เล่าว่า ที่โรงเรียนมีการสอนการปลูกผักไฮโดรโปนิก ก็ช่วยให้ได้รับรู้วิธีการปลูกผัก และได้ความสนุกด้วย แต่การปลูกผักค่อนข้างยาก เพราะต้องใช้เวลานานในการปลูกประมาณเกือบเดือนผักถึงจะโตที่จะเอาไปขายให้สหกรณ์ได้ นอกจากนี้ ยังรู้สึกภูมิใจที่สามารถปลูกผักได้เอง สามารถขายได้ และนำมารับประทานเอง อร่อยดีแต่มีความขม

หากขยายการดำเนินโครงการเด็กไทยแก้มใสออกไปในโรงเรียนทั่วประเทศ ก็จะช่วยให้โรงเรียนเกิดระบบจัดการด้านโภชนาการและสุขภาพของเด็ก อีกทั้งเป็นการฝึกให้เด็กไทยรู้จักผลิตวัตถุดิบในการทำอาหาร เห็นคุณค่าของอาหาร รู้จักการทำงานร่วมกันผ่านการทำงานระบบสหกรณ์ ฝึกฝนการประชุม การจัดทำบัญชี การค้าขาย ขณะที่โรงเรียนก็ให้ความสำคัญกับโภชนาการ การปรับเปลี่ยนสุขนิสัยนักเรียน มีการจัดสิ่งแวดล้อมที่ดี ก็จะช่วยให้นักเรียนเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพได้ และเป็นการตามรอยพระยุคลบาทเจ้าฟ้านักโภชนาการ และแก้ปัญหาเด็กไทย “อ้วน - เตี้ย - ผอม - โง่” อย่างยั่งยืนได้ในที่สุด







กำลังโหลดความคิดเห็น