xs
xsm
sm
md
lg

บินเดี่ยวเที่ยวเวียดนาม/สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


หลังจากผลคะแนนเป็นที่น่าพอใจ “เฉินเทียนอี้” หรือ “สรวง สิทธิสมาน” ก็ให้รางวัลชีวิตตัวเองในช่วงปิดเทอม ด้วยการท่องโลกคนเดียวเป็นครั้งแรกในชีวิต โดยเลือกเป้าหมายไปที่เมืองดาลัต และโฮจิมินห์ซิตี ประเทศเวียดนาม

การเรียนรู้นอกห้องเรียนครั้งสำคัญจึงเกิดขึ้นผ่านบทความนี้
.............................................
วันที่ 6 มกราคม 2559 เป็นวันสุดท้ายของการสอบปลายภาค ที่มหาวิทยาลัย 华东师范大学 หรือ East China Normal University ผมตัดสินใจออกไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์อีกครั้ง

เป้าหมายคือเวียดนาม เพราะไม่ได้ไกลไปกว่าเมืองน่าท่องเที่ยวอื่นของจีนมากนัก

ครั้งนี้ผมวางแผนเดินทางด้วยตัวคนเดียว และไปแค่ 2 เมือง คือ ดาลัต และโฮจิมินห์ซิตี โดยตั๋วเครื่องบินเป็นชั้นประหยัดของสายการบินโลว์คอสต์ที่ราคาต่ำที่สุดเท่าที่จะหาได้ เพราะผมต้องการที่จะเที่ยวอย่างประหยัดที่สุด เพื่อเหลือเงินใว้ใช้สอยบ้าง

ในเมื่อไฟลต์ที่เลือกได้นั้น เป็นไฟลต์รอบเช้า 8.15 น. ของวันที่ 7 มกราคม 2559 ผมตัดสินใจนอนค้างที่สนามบินพู่ตงเสียเลย เนื่องจากได้ประสบการณ์ตรงจากรุ่นพี่คนไทยมาก่อนแล้ว ว่า มีคนที่บินรอบเช้า และไปนอนค้างที่สนามบินมากมาย รวมถึงตัวพี่เขา ผมจึงลองดูบ้าง
พอถึงสนามบินในเวลาสามทุ่ม ก็พบว่าเก้าอี้นั่งรอสำหรับผู้โดยสารในเวลากลางวัน แปรสภาพเป็นที่นอนสำหรับผู้ที่จะเดินทางรอบเช้าในวันถัดมาไปเสียมาก

ดีไปอย่าง เพราะทำให้ผมหมดกังวลในเรื่องของการถูกขโมยทรัพย์สินในขณะที่กำลังหลับ เพราะถ้าเกิดขึ้นก็คงมีผู้ร่วมชะตามากมายที่ประสบเหตุเช่นเดียวกัน ประกอบกับสัมภาระที่ผมนำมานั้น เป็นเพียงกระเป๋า backpack ใบเดียวเท่านั้น ไม่ได้มีทรัพย์สินมีค่าอะไรมากนัก คืนนั้นกระเป๋าใบนั้นมีค่าขึ้นมาตรงที่ถูกแปรสภาพมาเป็นหมอนหนุนนอน

หลังจากเครื่องลงที่โฮจิมินห์ซิตี ก็มีเพื่อนชาวเวียดนามที่รู้จักกันที่เซี่ยงไฮ้มารอรับ จากนั้นก็ตีตั๋วรถบัสที่นอนได้ไปที่เมืองดาลัตทันที แต่กว่าจะไปถึงนั้นก็มืดเสียแล้ว

เมืองดาลัตในเวลากลางคืนครึกครื้นมาก ให้อารมณ์เหมือนกับเชียงใหม่ของบ้านเราเลย พวกเราตระเวนกินกันอย่างสนุกสนาน สิ่งที่สัมผัสได้ก็คือชาวเวียดนามมีความเป็นกันเองอย่างมาก เพื่อนผมพูดคุยกับเจ้าของร้านอาหารอย่างสนิทสนม ทั้งที่เพิ่งจะเจอกันครั้งแรก

หลังจากอิ่มท้องแล้วพวกเราก็เดินทางกลับที่พัก นอนพักเอาแรงเพื่อตื่นเช้าและเที่ยวต่อในวันรุ่งขึ้น
วันที่ 2 เราตื่นแต่เช้า ออกมารับประทานเฝอ แล้วเดินทางต่อไปที่ฟาร์มนมดาลัตเพื่อสัมผัสกับทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงวัวนม พวกเราเดินเล่นไปถ่ายรูปกันอย่างเพลิดเพลิน ได้ภาพสวยงามมากมาย อีกทั้งได้ดื่มนมสดชั้นเยี่ยม ทำให้เรามีความสุขกันมากในช่วงเช้าของวันนี้

หลังจากออกจากฟาร์มนม พวกเราก็เดินทางไปรับประทานอาหารกลางวันกันต่อ โดยเน้นไปที่อาหารท้องถิ่น ส่วนมากจะเป็นอาหารทะเลจำพวกหอย ซึ่งมีวิธีการกินหอยต่างๆ ไม่เหมือนกับที่ไทย เช่น การแกะหอยและใช้เปลือกหอยตักน้ำจิ้ม และนำเข้าปากไปพร้อมๆ กับหอย อร่อยไม่แพ้บ้านเราเลยทีเดียว

ในเมื่อเวลามีน้อย สวนทางกับอาหารอร่อยน่าลิ้มลองจำนวนมาก พวกเราจึงไม่ได้รับประทานอาหารกลางวันแค่มื้อเดียวเท่านั้น หลังจากปิดจ๊อบกับอาหารท้องถิ่นเราก็ไปละเลียดเนื้อย่างสไตล์เวียดนามกันอีก ซึ่งแน่นอนว่า แตกต่างจากประเทศไทยเช่นกัน ทั้งการหมักเนื้อที่นิยมกินกัน คือ เนื้อวัว และ เนื้อกวาง นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้ลองเนื้อกวาง

หลังจากอิ่มท้องกันเต็มที่แล้ว เพื่อนผมก็พาผมไปที่พิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง ซึ่งเดิมทีเคยเป็นตำหนักของกษัตริย์องค์สุดท้ายของเวียดนาม บอกตามตรงว่าผมไม่ค่อยซึมซับรายละเอียดได้มากนัก เพราะในพิพิธภัณฑแห่งนี้ส่วนใหญ่จะใช้ภาษาเวียดนาม
อาหารมื้อเย็นวันนั้นเป็นเนื้อย่างอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นในร้านที่มีชื่อเสียง มีกระทะที่แตกต่างจากกระทะร้อนทั่วไป โดยมีทรงสี่เหลี่ยมเล็กๆ สำหรับย่างเนื้อกวางโดยเฉพาะ เป็นอีกมื้อที่อร่อยมากสำหรับผม หลังจากนั้น เราก็ไปหาของหวานกินกันมากมาย ทั้งนมหวานเวียดนามจิ้มกับขนมปัง และผลไม้รวมราดน้ำกะทิ

สิ่งนี้ทำให้ผมหลงรักประเทศเวียดนามขึ้นมา ถึงแม้ว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่พอมีโอกาสได้ไปเยือนอาจจะไม่สวยงามอย่างที่ใจหวัง แต่อาหารการกินของเขาก็ไม่แพ้บ้านเราเลยทีเดียว

ที่สำคัญ เพื่อนเวียดนามของผมให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นน่าประทับใจจริงๆ ทั้งพาเที่ยวและสอนผมกินอาหารท้องถิ่นอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ยังได้รู้จักกับเพื่อนใหม่อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับผม ซึ่งทุกคนก็สามารถสื่อสารกับผมได้ด้วยภาษาอังกฤษ

วันต่อมาเราออกจากเมืองดาลัตแต่เช้า เพื่อเดินทางกลับไปโฮจิมินห์ซิตี โดยรถนอนเช่นเคย กว่าจะถึงโฮจิมินห์ซิตีก็ปาเข้าไปหกโมงเย็นแล้ว และในวันถัดไปต้องออกตั้งแต่เช้ามืด เพื่อขึ้นเครื่องบินกลับเซี่ยงไฮ้ ผมจึงตัดสินใจให้เพื่อนพาเที่ยวรอบเมืองในยามค่ำคืน ไปตามสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญต่างๆ ในนครโฮจิมินห์ซิตี โดยซ้อนมอเตอร์ไซค์เพื่อนไป

คนเวียดนามส่วนใหญ่ในเมืองมักใช้จักรยานยนต์มากกว่ารถยนต์ เนื่องจากถนนในเวียดนามนั้นเป็นถนนที่เล็ก และไม่ค่อยสะดวกต่อรถยนต์ จะมีเพียงแต่รถแท็กซี่สำหรับรับส่งนักท่องเที่ยวต่างเมืองและต่างชาติเท่านั้น

สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในโฮจิมินห์ซิตี จะเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ถูกสร้างโดยชาวฝรั่งเศสที่เคยมารุกรานเวียดนามในสมัยยุคล่าอาณานิคม ทั้งโบสถ์ อนุสาวรีย์ หรือแม้กระทั่งที่ทำการของรัฐบาล

เราท่องเที่ยวในยามค่ำคืนไปในที่ต่างๆ และลองอาหารท้องถิ่นของโฮจิมินห์ซิตี ทั้งของหวานของคาวและเครื่องดื่มนั้น ล้วนเป็นรสชาติแปลกใหม่ที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อน ท่องเที่ยวกันยันรุ่งสางแล้วก็เดินทางไปสนามบินเพื่อขึ้นเครื่องกลับเซี่ยงไฮ้ตอนสายๆ

การบินเดี่ยวไปเวียดนามครั้งนี้ ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ผมได้รับ เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่เดินทางเพียงคนเดียว โดยไม่มีเพื่อนร่วมทางเป็นชาวไทยด้วยกัน หากแต่เป็นคนท้องถิ่นที่รู้จักกันที่มหาวิทยาลัย แต่ก็เต็มไปด้วยมิตรภาพที่ดีต่อกันอย่างยิ่ง ทำให้การท่องเที่ยวครั้งนี้พิเศษสำหรับผมมากเลยทีเดียว

เสน่ห์ของเวียดนามทำให้ผมหลงรักเข้าเสียแล้ว อีกไม่นานคงได้พบกันใหม่



กำลังโหลดความคิดเห็น