โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยอันดับ 1 คือประมาณ 60,000 รายต่อปี หรือเฉลี่ยชั่วโมงละเกือบ 7 ราย แม้ปัจจุบันจะมีการรักษาโรคมะเร็งหลากหลายวิธี ทั้งการผ่าตัด การใช้ยาเคมีบำบัด การฉายรังสีรักษา หรือแม้แต่การพัฒนายาที่ออกฤทธิ์แบบมุ่งเป้าจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็งมากขึ้น แต่ก็พบว่าผู้ป่วยจำนวนมากยังต้องเสียชีวิตจากโรคมะเร็งอยู่ดี
การจะเพิ่มโอกาสรอดชีวิตแก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งให้มากขึ้นนั้น ศ.นพ.พรชัย โอเจริญรัตน์ หัวหน้าสาขาศัลยศาสตร์ศีรษะ คอ และเต้านม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การรักษาผู้ป่วยมะเร็งในระยะแรกโอกาสการรอดชีวิตสูงมาก ยกตัวอย่าง มะเร็งเต้านม ซึ่งจากการเก็บข้อมูลของ รพ.ศิริราชพบว่า เมื่อผู้ป่วยมะเร็งเต้านมได้รับการรักษาครบตามแผนที่วางไว้พบว่า โอกาสการรอดชีวิตที่ 10 ปี ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะที่ 1-3 เฉลี่ยสูงถึง 85.6% และยิ่งเป็นระยะแรกโอกาสการรอดชีวิตก็ยิ่งสูง โดยระยะที่ 1 สูงถึง 95%
“ดังนั้น การเพิ่มอัตราการรอดชีวิตให้ผู้ป่วยมะเร็งนั่นคือ การค้นหา คัดกรอง และวินิจฉัยโรคให้ได้เร็วขึ้น เพื่อลดโอกาสการเป็นผู้ป่วยมะเร็งในระยะท้ายๆ รวมถึงต้องมีการพัฒนายาใหม่ๆ ที่จะช่วยเสริมการรักษาวิธีเดิมที่มีอยู่ รวมถึงลดผลข้างเคียงของยาปัจจุบันที่มีอยู่ เพราะแม้จะรักษาไม่หาย แต่ยาที่ช่วยลดผลข้างเคียง ก็จัช่วยให้ผู้ป่วยอยู่ร่วมกับมะเร็งได้อย่างมีความสุข ไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ยังสามารถทำงานได้นั่นเอง” ศ.นพ.พรชัย กล่าว
สำหรับแนวทางใหม่ๆ ในการรักษาโรคมะเร็งนั้น แนวทางหนึ่งที่ถูกพูดถึงมาระยะหนึ่งแล้วคือ “ภูมิคุ้มกันบำบัด” ซึ่งหลายประเทศก็มีการศึกษาวิจัยและค้นคว้าในเรื่องนี้ รวมถึงประเทศไทย โดย ศ.ดร.เพทาย เย็นจิตโสมนัส หัวหน้าหน่วยอณูเวชศาสตร์ สถานส่งเสริมการวิจัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในฐานะหัวหน้าเครือข่ายวิจัยนานาชาติด้านภูมิคุ้มกันบำบัดโรคมะเร็ง เล่าว่า โรคมะเร็งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรม เนื่องจากการกลายพันธุ์ของยีนในจีโนมของมนุษย์ ซึ่งอยู่ภายในนิวเคลียสของเซลล์ ส่งผลให้เซลล์เกิดความผิดปกติ ประกอบกับร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง ทำให้เซลล์ที่ผิดปกตินี้รอดพ้นจากการทำลายของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งทำให้เซลล์ที่ผิดปกติแบ่งตัวและเพิ่มจำนวน พัฒนากลายเป็นเซลล์มะเร็ง ซึ่งสามารถกระจายไปยังอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ส่งผลให้อวัยวะเหล่านั้นทำงานผิดปกติ
“การกลายพันธุ์ของยีนอาจเกิดขึ้นได้เองจากความผิดพลาดเมื่อมีการสร้างดีเอ็นเอใหม่ หรือถูกกระตุ้นจากการรับสารพิษ สารก่อมะเร็ง สารเคมี บุหรี่ เหล้า เป็นต้น รวมถึงการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และพยาธิ อย่างไรก็ตาม หากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง เซลล์ผิดปกติจะถูกทำลายโดยระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ไม่เกิดเซลล์มะเร็ง หรือหากมีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้น จะถูกยับยั้งและทำลายโดยระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ไม่สามารถแพร่กระจายได้ แต่เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง เช่น มีอายุมาก การติดเชื้อที่กดหรือทำลายภูมิคุ้มกัน หรือความอ่อนแอของระบบภูมิคุ้มกันจากสารพิษ สารเคมี หรือสิ่งแวดล้อม ทำให้เซลล์ผิดปกติเหล่านั้นรอดพ้นจากการทำลาย พัฒนาไปเป็นเซลล์มะเร็งและกระจายไปยังอวัยวะต่างๆ ได้” ศ.ดร.เพทาย กล่าว
ด้วยเหตุนี้แนวคิดเรื่องภูมิคุ้มกันบำบัด จึงถูกนำมาศึกษาและพัฒนาเพื่อใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง ศ.ดร.เพทาย เล่าว่า ภูมิคุ้มกันบำบัด เป็นเทคโนโลยีในการนำเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยมากระตุ้นภายนอกร่างกาย หรือเปลี่ยนแปลงเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการทำลายเซลล์มะเร็งได้ดียิ่งขึ้น และใส่กลับเข้าไปในร่างกายของผู้ป่วย เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้มีความแข็งแรงและจำเพาะในการกำจัดเซลล์มะเร็ง จัดเป็นวิธีที่มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากเซลล์ภูมิคุ้มกันที่นำมากระตุ้นหรือเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ของตัวผู้ป่วยเอง ซึ่งในต่างประเทศมีการวิจัยทางคลินิกมาประมาณ 4-5 ปีแล้ว พบว่า ได้ผลดี วิธีนี้จึงมีศักยภาพที่จะสามารถนำมาใช้ในผู้ป่วยได้จริง โดยขณะนี้มี 3 วิธีคือ 1.การรักษาด้วยเซลล์เด็นไดรติค โดยนำเซลล์ดังกล่าวมากระตุ้นด้วยแอนติเจนที่จำเพาะต่อเซลล์มะเร็ง เมื่อใส่กลับเข้าไปในร่างกายจะไปกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ไปกำจัดเซลล์มะเร็งในร่างกาย โดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริการับรองวิธีนี้ในการรักษามะเร็งต่อมูกหมาก
2.การรักษาด้วยที-เซลล์ที่แยกและนำมากระตุ้นให้เพิ่มจำนวน ซึ่งขั้นตอนจะเหมือนวิธีแรกในการกระตุ้นเซลล์เด็นไดรติคด้วยแอนติเจนที่จำเพาะต่อมะเร็ง แต่มีการแยกเซลล์เม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์ ซึ่งมีที-เซลล์ปะปนอยู่ จากเลือดผู้ป่วยมาเลี้ยงร่วมกับเซลล์เด็นไดรติค เพื่อให้เซลล์เด็นไดรติคกระตถ้นการเพิ่มจำนวนที-เซลล์ และนำที-เซลล์ที่เพิ่มจำนวนแล้วใส่กลับเข้าร่างกายผู้ป่วย
และ 3.การรักษาด้วยเซลล์ลิมโฟไซต์ที่มีการดัดแปลงให้มีโมเลกุลรับสัญญาณแบบลูกผสม หรือคาร์ ที-เซลล์ คือการนำที-เซลล์มาดัดแปลงให้มีโมเลกุลรับสัญญาณแบบลูกผสมด้วยวิธีอณูชีววิทยา ทำให้สามารถจดจำแอนติเจนบนผิวเซลล์มะเร็ง และทำลายเซลล์มะเร็งได้จำเพาะ โดยไม่ต้องกระตุ้นด้วยเซลล์เด็นไดรติค ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง แต่ก็อันตรายสูง เพราะจะไปทำลายเซลล์ปกติของร่างกายด้วย ทำให้เกิดผลข้างเคียงขึ้นได้ โดยในต่างประเทศทำได้สำเร็จและเข้าสู่การรักษาแล้วคือ โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิด Chronic Lymphocytic Leukemia แต่จะต้องได้รับแอนติบอดีไปตลอดชีวิต
ศ.ดร.เพทาย กล่าวว่า ส่วนประเทศไทยยังมีการวิจัยเรื่องนี้น้อยมาก แต่ก็มีการศึกษาอยู่ โดยเครือข่ายวิจัยนานาชาติด้านภูมิคุ้มกันบำบัดนี้ก็กำลังเร่งดำเนินการศึกษา โดยขณะนี้อยู่ในระยะที่ 1 คือระยะทดลองในห้องปฏิบัติการ โดยการนำภูมิคุ้มกันของเหล่านักวิจัยมาศึกษาก็พบว่าสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งที่เพาะเลี้ยงได้ โดยมีการทดลองในเซลล์มะเร็ง 3 ชนิดคือ มะเร็งเม็ดเลือดหรือลูคิเมีย มะเร็งตับ และมะเร็งเต้านม โดยภายในปี 2560 จะเข้าสู่การทดลองระยะที่ 2 คือในสัตว์ทดลอง และการใช้เซลล์ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยมาทดลองกับเซลล์มะเร็งที่เพาะเลี้ยงและเซลล์มะเร็งของผู้ป่วยเอง เพื่อดูว่าผลการทดลองเป็นอย่างไร โดยคาดว่าภายใน 2-3 ปี จะเข้าสู่การทดลองระยะที่ 3 คือระยะที่เริ่มทำการวิจัยทางคลินิกในผู้ป่วยจริง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการที่จะให้บริการต่อไป ซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ก่อน
“การทดลองในมนุษย์นั้นจะนำผู้ป่วยมาทำการศึกษา และเก็บข้อมูลการรักษาด้วยวิธีเซลล์ภูมิคุ้มกันบำบัด ถ้าข้อมูลแสดงให้เห็นว่าได้ผลดีมากกว่าผลเสีย จึงจะเพิ่มจำนวนผู้ป่วยที่จะทำการศึกษาก่อนจะนำไปให้บริการจริงในผู้ป่วยต่อไป” ศ.ดร.เพทาย กล่าว
ภูมิคุ้มกันบำบัดจึงถือเป็นที่จะเป็นความหวังใหม่ในการรักษาโรคมะเร็ง เพราะใช้พื้นฐานองค์ความรู้และข้อมูลหลักฐานทางวิทยาศาสตร์การแพทย์รองรับและสนับสนุน ทั้งนี้ หากการศึกษาประสบความสำเร็จจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศและคนไทยอย่างมาก