สธ. เร่งสอบไส้กรอก 3 ยี่ห้อ ใส่ “สารไนเตรท - ไนไตรท์” เกินกำหนด แจงใส่สารเหล่านี้ช่วยยับยั้งพิษโบทูลินัมในอาหารปิดสนิท รับปริมาณตามกำหนดไร้อันตราย แนะกินธัญพืช ไข่ ผัก ผลไม้ มีวิตามินซีและอีสูง ช่วยป้องกันสารกันเสียเกิดพิษต่อร่างกาย ด้าน อย. เร่งตรวจสอบ เผยปี 59 ตรวจไส้กรอกพบไนเตรท ไนไตรท์ เกินค่า 1 ตัวอย่าง
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และโฆษก สธ. กล่าวถึงกรณีข่าวพบสารไนเตรท และ ไนไตรท์ หรือสารกันบูดเกินมาตรฐานในไส้กรอก 3 ยี่ห้อ ว่า ได้มอบหมายให้สำนักส่งเสริมและสนับสนุนอาหารปลอดภัย สืบค้นข้อมูลกรณีดังกล่าวแล้ว และประสานกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ สารไนเตรท และ ไนไตรท์ หรือ “ดินประสิว” เป็นวัตถุกันเสียที่นำมาใช้ในการถนอมอาหาร เพื่อทำให้เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน แหนม กุนเชียง เนื้อเค็ม มีสีสดเป็นสีแดงอมชมพู ช่วยให้อาหารคงสภาพอยู่ได้นาน ไม่เน่าเสีย ซึ่ง European Food Safety Authority (EFSA) ได้บ่งชี้ว่า การใช้เกลือไนไตรท์ปริมาณที่พอเหมาะ คือ 50 - 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัม จะควบคุมการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียกลุ่มคลอสตริเดียมโบทูลินัม ซึ่งเจริญเติบไตได้ดีในภาชนะที่ปิดสนิท หรือไม่มีอากาศ และสร้างสารพิษที่มีอันตรายถึงชีวิต
“สธ. ได้ออกประกาศกระทรวงฉบับที่ 281 กำหนดประมาณการใช้เกลือไนเตรท หรือ ไนไตรท์ ในผลิตภัณฑ์เนื้อหมัก ให้ใช้เกลือไนไตรท และ ไนไตรท์ ได้ไม่เกิน 125 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมอาหาร เกลือไนเตรท และ ไนเตรท์ ใช้ได้ไม่เกิน 500 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมอาหาร เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยประชาชน อย่างไรก็ตาม ในแต่ละวันร่างกายจะได้รับสารไนไตรท์จากการกินอาหารเนื้อสัตว์แปรรูปประมาณร้อยละ 10 อีกร้อยละ 90 ได้จากการกินพืชและแหล่งอื่น ๆ ที่มีสารไนเตรท ซึ่งปกติแล้วสารนี้ไม่มีพิษ หากกินในปริมาณที่กำหนดจะไม่เกิดอันตราย แต่ถ้ากินมากเกินไปอาจทําให้เกิดอาการท้องร่วงรุนแรงได้ และสารไนเตรทจะถูกแบคทีเรียในกระเพาะอาหารและลําไส้เปลี่ยนให้เป็นไนไตรท์ ทําให้ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงผิดปกติ ไม่นําพาออกซิเจนไปใช้ได้ หากมีระดับฮีโมโกลบินสูงขึ้นมากกว่าร้อยละ 2 - 25 จะทําให้อ่อนเพลีย ตัวเขียว หัวใจเต้นเร็ว แต่หากสูงถึงระดับร้อยละ 50 - 60 จะทําให้หมดสติและเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในเด็ก แต่ประชาชนไม่ต้องกังวล เพราะขนาดที่จะทําให้เป็นอันตรายถึงตายได้มีขนาดสูงพอควร ต้องกินเข้าไปจํานวนมาก” นพ.สุวรรณชัย กล่าว
นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า ขอแนะนำให้กินอาหารที่มีวิตามินซีและวิตามินอีสูง หลังมื้ออาหารเป็นประจํา ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดไนโตรซามีนในกระเพาะอาหารได้ โดยอาหารที่มีวิตะมินอีสูง เช่น นม ไข่ ธัญพืช ถั่วลิสง ผักโขม น้ำมันพืช ส่วนวิตามินซีจะมีมากในผักผลไม้เช่น ผักคะน้า กะหล่ำปลี ขึ้นฉ่าย มะเขือเทศสีดา ผักกวางตุ้ง ข้าวโพดอ่อน บรอกโคลี่ ดอกกะหล่ำ ชะอม ฝรั่ง เงาะ มะละกอ มะขามป้อม พุทรา และให้กินอาหารหลากหลาย ไม่กินอาหารซ้ำซาก เพราะหากอาหารที่ชอบกินชนิดใดชนิดหนึ่งมีไนเตรท หรือ ไนไตรท์ สูงเป็นประจํา และกินซ้ำทุกวัน ร่างกายจะได้รับสารเหล่านี้มากเกินไป เสี่ยงต่อการเกิดไนโตรซามีนในร่างกายได้
ด้าน นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม รองเลขาธิการ อย. กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีทีมลงพื้นที่ไปตรวจสอบยังสถานที่ผลิตไส้กรอกทั้ง 3 ยี่ห้อแล้ว อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา อย. ได้ตรวจสอบการผสมสารต่าง ๆ ในผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์เป็นประจำอยู่แล้ว โดยในปี 2559 ได้เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ทั้งหมด 200 ตัวอย่าง ส่งให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจหาสารไนเตรท ไนไตรท์ ซอร์บิกแอซิด และ โปแตสเซียมซอร์เบต (วัตถุกันเสีย) และการผสมสี เป็นต้น ล่าสุด ผลตรวจไส้กรอกเสร็จแล้ว 26 ตัวอย่าง ซึ่งพบว่ามีสารไนเตรท ไนไตรท์เกินค่ามาตรฐาน 1 ตัวอย่าง แต่ไม่สามารถบอกยี่ห้อได้ เพราะอยู่ระหว่างตรวจสอบสถานที่ผลิตว่าได้มาตรฐาน มีสารดังกล่าวเกินค่ามาตรฐานหรือไม่ หากพบว่าเกินถึงจะเป็นเหตุผลที่สอดคล้องกัน และสามารถเปิดเผยชื่อยี่ห้อได้อย่างเป็นทางการ ส่วนผลการตรวจ สารซอร์บิก ซอร์เบต และสีนั้นไม่พบถูกใช้เป็นส่วนผสมแต่อย่างใด
นพ.ไพศาล กล่าวว่า ส่วนข้อเรียกร้องให้มีการปรับเปลี่ยนฉลากแสดงส่วนประกอบนั้น ความจริง อย. ได้มีการออกประกาศเรื่องฉลากอาหาร ฉบับที่ 367 กำหนดให้เจ้าของผลิตภัณฑ์ต้องแสดงทั้งเลขรหัส และชื่อสาร หรือกลุ่มที่ใช้ ทำหน้าที่อะไรบ้าง เป็นต้น แต่ประกาศตัวนี้จะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ธ.ค. 2559 ดังนั้นฉลากผลิตภัณฑ์เดิมที่ออกก่อนหน้านี้ 2 ปี ยังสามารถใช้ได้ ดังนั้นขอให้ประชาชนหมั่นอ่านฉลากอาหารก่อนตัดสินใจซื้อ อย่างไส้กรอกถ้าสีผิดธรรมชาติมาก ๆ ก็ไม่ควรซื้อมารับประทาน
“ส่วนกรณีที่เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืชหรือไทยแพน (Thai-PAN :Thailand Pesticide Alert Network) ตรวจพบผัก ผลไม้ปนเปื้อนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชหลาย ๆ ประเภท แม้กระทั่งตัวที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Q จากสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) และออร์แกนิก ไทยแลนด์ (Organic Thailand) ก็พบการปนเปื้อนด้วย ว่า อย. จะตรวจสอบ ดูแลผัก ผลไม้ในช่วงปลายทางที่มีการวางขายตามท้องตลาดแล้ว ไม่ได้ลงไปดูในพื้นที่ปลูก หรือผลิต เพราะเป็นหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนข้อมูลจากไทยแพนก็ต้องมีการนำไปสู่การแก้ไขปัญหาทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ ซึ่งมี อย. กระทรวงเกษตรฯ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องได้มีการยกร่างประกาศ กำหนดให้ผล ผลไม้ที่บรรจุในภาชนะบรรจุต้องผ่านเกณฑ์ไพมารี่จีเอ็มพี และสามารถตรวจสอบย้อนหลังไปยังต้นทางที่แหล่งผลิตได้ โดยในส่วนของต้นทางก็ต้องทำให้มีมาตรฐานจีเอพีหรือเทียบเท่า เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในประเทศได้” รองเลขาธิการ อย. กล่าว
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่