ห่วง! “นักเรียนไร้สถานะทางทะเบียน” เด็กด้อยโอกาส - ลูกหลานกลุ่มชาติพันธุ์เกือบ 7 หมื่นคน ขาดสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุข หนุนภาครัฐ - ท้องถิ่น เดินหน้าคืนสิทธิลง พท. จริง ชี้ ประโยชน์ดูแลสุขภาพ - ควบคุมโรคภาพรวมของประเทศ
นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา ในฐานะกรรมการกำหนดแนวทางการปฏิบัติตามมติ ครม. 3 มีนาคม 2553 เรื่อง การคืนสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับบุคคลมีสถานะและสิทธิ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวในเวทีเสวนา “สิทธิเข้าถึงหลักประกันสุขภาพเด็กที่ไม่สถานะทางทะเบียน” ที่สำนักกลางนักเรียนคริสเตียนแห่งประเทศไทย ว่า ตามที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2558 เรื่อง การให้สิทธิ (คืนสิทธิ) ขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขให้กับบุคคลที่มีปัญหาสถานและสิทธิเพิ่มเติม โดยในส่วนของเด็กนักเรียนในสถานศึกษาที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนบางส่วน อาทิ กลุ่มด้อยโอกาส กลุ่มเด็กเยาวชนลูกหลานของชาติพันธุ์ต่าง ๆ ตามพื้นที่แนวชาติแดน จากข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่ได้จัดทำทะเบียนเด็กกลุ่มนี้ โดยมีตัว G นำหน้าเลข 13 หลัก เพื่อให้สิทธิการศึกษาขั้นพื้นฐาน และเรียกเด็กกลุ่มนี้ว่า “เด็กติด G” ซึ่งมีจำนวน 67,511 คน ซึ่งยังไม่มีการขึ้นทะเบียนสิทธิด้านสาธารณสุข ทั้งหลักประกันสุขภาพและการรักษาที่เป็นชัดเจน จึงเป็นแนวทางต่อเนื่องที่จะขออนุมติให้สิทธิส่วนนี้เพิ่มเติม ซึ่งสามารถใช้ข้อมูลเดียวกันได้ ด้วยเหตุนี้ที่ประชุมจึงได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (มท.) และสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ทำการตรวจสอบข้อมูลเพื่อยืนยันความถูกต้องอีกครั้ง พร้อมรับรองการขึ้นทะเบียนของกลุ่มบุคคลดังกล่าว และให้นำเสนอต่อ ครม. เพื่อมีมติเห็นชอบอีกครั้ง
“เรื่องนี้เป็นการดำเนินตามมติ ครม. ให้เกิดผลชัดเจนในทางปฏิบัติเท่านั้น เพราะหลังจากมีมติ ครม. ดังกล่าว จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการนำข้อมูลตรวจสอบเด็กนักเรียนในสถานศึกษาที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนกลุ่มนี้กลับเข้าสู่ ครม. เพื่อพิจารณาอนุมัติเพิ่มเติม ไม่เพียงแต่กระทบต่อเด็กเท่านั้น แต่ยังทำให้ รพ. ในพื้นที่รับภาระค่ารักษาต่อเนื่อง กระทบงานป้องกันควบคุมโรคในภาพรวมของประเทศได้” นายสุรพงษ์ กล่าว
ด้าน นายเฉลียว เถื่อนเภา ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตะโกล่าง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี กล่าวว่า ในพื้นที่อำเภอสวนผึ้งมีประชากร 50,000 คน ในจำนวนนี้มีประชากรแฝงกลุ่มชาติพันธุ์ประมาณ 20,000 คน ส่วนหนึ่งคือ เด็กในพื้นที่โรงเรียนมีทั้งเด็กที่ไม่มีเอกสารทางทะเบียนราษฎร แม้ว่าจะสามารถเข้าเรียนโรงเรียนในพื้นที่ได้ แต่เมื่อมีการเจ็บป่วย เช่น อุบัติเหตุ แขนขาหัก โรคไข้เลือดออก โรคติดต่อต่าง ๆ ปากแหว่งเพดานโหว่ ฯลฯ ต้องเข้ารับการรักษากับโรงพยาบาลกลับมีปัญหา เพราะ รพ. ในพื้นที่เองจำเป็นต้องคัดกรองรักษาประชาชนที่มีชื่อในทะเบียนราษฎรก่อนเป็นสำคัญ ตามงบประมาณที่ได้รับจัดสรรจากระบบการนับจำนวนประชากรต่อรายจ่ายรักษายาบาลจากส่วนกลาง ทำให้เป็นปัญหาของเด็กนักเรียนในพื้นที่ที่ไม่มีชื่อในทะเบียน ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถจะรักษาและออกค่าใช้จ่ายให้ได้ทุกครั้ง การแก้ปัญหาส่วนตัวคิดว่า ต้องเป็นความร่วมมือตั้งแต่แนวทางของผู้มีอำนาจจากส่วนกลางที่เกี่ยวข้องที่จะผลักดันแนวปฏิบัติที่ชัดเจนในการขึ้นทะเบียน และให้สิทธิเพิ่มเติมในการรักษาพยาบาลแก่เด็กนักเรียนลงสู่พื้นที่จริง และผู้นำท้องถิ่นชุมชนเองต้องรับแนวทางมาปฏิบัติให้เกิดผลจริง เพราะไม่เพียงเป็นประโยชน์กับเด็กนักเรียน แต่ยังเป็นประโยชน์ส่วนร่วมของพื้นที่ในการดูแลจัดการทั้งด้านสุขภาพและการดำเนินชีวิตด้านอื่น ๆ อีกด้วย
เด็กหญิง ดอกไม้ (นามสมมติ)ตัวแทนนักเรียนที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน นักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนบ้านตะโกล่าง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี กล่าวว่า ตนเองได้โอกาสเรียนหนังสือในโรงเรียน แต่เมื่อไม่สบายจะซื้อยากินเอง พ่อแม่พาไปรักษาที่โรงพยาบาลไม่ได้ เพราะว่าไม่มีเลข 13 หลักเหมือนคนไทย ถ้าไม่สบายมากจนต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลพ่อแม่ก็จะจ่ายเงินค่าเดินทางและค่ารักษาเป็นจำนวนมาก แต่ครอบครัวมีรายได้ จึงอยากจะมีสิทธิรักษาพยาบาลเหมือนเพื่อนคนไทยทั่วไปที่มีชื่อและเลข 13 หลักในระบบทะเบียนราษฎร
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา ในฐานะกรรมการกำหนดแนวทางการปฏิบัติตามมติ ครม. 3 มีนาคม 2553 เรื่อง การคืนสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับบุคคลมีสถานะและสิทธิ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวในเวทีเสวนา “สิทธิเข้าถึงหลักประกันสุขภาพเด็กที่ไม่สถานะทางทะเบียน” ที่สำนักกลางนักเรียนคริสเตียนแห่งประเทศไทย ว่า ตามที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2558 เรื่อง การให้สิทธิ (คืนสิทธิ) ขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขให้กับบุคคลที่มีปัญหาสถานและสิทธิเพิ่มเติม โดยในส่วนของเด็กนักเรียนในสถานศึกษาที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนบางส่วน อาทิ กลุ่มด้อยโอกาส กลุ่มเด็กเยาวชนลูกหลานของชาติพันธุ์ต่าง ๆ ตามพื้นที่แนวชาติแดน จากข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่ได้จัดทำทะเบียนเด็กกลุ่มนี้ โดยมีตัว G นำหน้าเลข 13 หลัก เพื่อให้สิทธิการศึกษาขั้นพื้นฐาน และเรียกเด็กกลุ่มนี้ว่า “เด็กติด G” ซึ่งมีจำนวน 67,511 คน ซึ่งยังไม่มีการขึ้นทะเบียนสิทธิด้านสาธารณสุข ทั้งหลักประกันสุขภาพและการรักษาที่เป็นชัดเจน จึงเป็นแนวทางต่อเนื่องที่จะขออนุมติให้สิทธิส่วนนี้เพิ่มเติม ซึ่งสามารถใช้ข้อมูลเดียวกันได้ ด้วยเหตุนี้ที่ประชุมจึงได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (มท.) และสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ทำการตรวจสอบข้อมูลเพื่อยืนยันความถูกต้องอีกครั้ง พร้อมรับรองการขึ้นทะเบียนของกลุ่มบุคคลดังกล่าว และให้นำเสนอต่อ ครม. เพื่อมีมติเห็นชอบอีกครั้ง
“เรื่องนี้เป็นการดำเนินตามมติ ครม. ให้เกิดผลชัดเจนในทางปฏิบัติเท่านั้น เพราะหลังจากมีมติ ครม. ดังกล่าว จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการนำข้อมูลตรวจสอบเด็กนักเรียนในสถานศึกษาที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนกลุ่มนี้กลับเข้าสู่ ครม. เพื่อพิจารณาอนุมัติเพิ่มเติม ไม่เพียงแต่กระทบต่อเด็กเท่านั้น แต่ยังทำให้ รพ. ในพื้นที่รับภาระค่ารักษาต่อเนื่อง กระทบงานป้องกันควบคุมโรคในภาพรวมของประเทศได้” นายสุรพงษ์ กล่าว
ด้าน นายเฉลียว เถื่อนเภา ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตะโกล่าง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี กล่าวว่า ในพื้นที่อำเภอสวนผึ้งมีประชากร 50,000 คน ในจำนวนนี้มีประชากรแฝงกลุ่มชาติพันธุ์ประมาณ 20,000 คน ส่วนหนึ่งคือ เด็กในพื้นที่โรงเรียนมีทั้งเด็กที่ไม่มีเอกสารทางทะเบียนราษฎร แม้ว่าจะสามารถเข้าเรียนโรงเรียนในพื้นที่ได้ แต่เมื่อมีการเจ็บป่วย เช่น อุบัติเหตุ แขนขาหัก โรคไข้เลือดออก โรคติดต่อต่าง ๆ ปากแหว่งเพดานโหว่ ฯลฯ ต้องเข้ารับการรักษากับโรงพยาบาลกลับมีปัญหา เพราะ รพ. ในพื้นที่เองจำเป็นต้องคัดกรองรักษาประชาชนที่มีชื่อในทะเบียนราษฎรก่อนเป็นสำคัญ ตามงบประมาณที่ได้รับจัดสรรจากระบบการนับจำนวนประชากรต่อรายจ่ายรักษายาบาลจากส่วนกลาง ทำให้เป็นปัญหาของเด็กนักเรียนในพื้นที่ที่ไม่มีชื่อในทะเบียน ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถจะรักษาและออกค่าใช้จ่ายให้ได้ทุกครั้ง การแก้ปัญหาส่วนตัวคิดว่า ต้องเป็นความร่วมมือตั้งแต่แนวทางของผู้มีอำนาจจากส่วนกลางที่เกี่ยวข้องที่จะผลักดันแนวปฏิบัติที่ชัดเจนในการขึ้นทะเบียน และให้สิทธิเพิ่มเติมในการรักษาพยาบาลแก่เด็กนักเรียนลงสู่พื้นที่จริง และผู้นำท้องถิ่นชุมชนเองต้องรับแนวทางมาปฏิบัติให้เกิดผลจริง เพราะไม่เพียงเป็นประโยชน์กับเด็กนักเรียน แต่ยังเป็นประโยชน์ส่วนร่วมของพื้นที่ในการดูแลจัดการทั้งด้านสุขภาพและการดำเนินชีวิตด้านอื่น ๆ อีกด้วย
เด็กหญิง ดอกไม้ (นามสมมติ)ตัวแทนนักเรียนที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน นักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนบ้านตะโกล่าง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี กล่าวว่า ตนเองได้โอกาสเรียนหนังสือในโรงเรียน แต่เมื่อไม่สบายจะซื้อยากินเอง พ่อแม่พาไปรักษาที่โรงพยาบาลไม่ได้ เพราะว่าไม่มีเลข 13 หลักเหมือนคนไทย ถ้าไม่สบายมากจนต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลพ่อแม่ก็จะจ่ายเงินค่าเดินทางและค่ารักษาเป็นจำนวนมาก แต่ครอบครัวมีรายได้ จึงอยากจะมีสิทธิรักษาพยาบาลเหมือนเพื่อนคนไทยทั่วไปที่มีชื่อและเลข 13 หลักในระบบทะเบียนราษฎร
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่