สสส. เผยผลงาน 14 ปี ลดนักสูบ 1.2 ล้านคน ประหยัดค่าเหล้าปีละ 1.5 หมื่นกว่าล้านบาท ย้ำผลงานเกิดจากความร่วมมือทุกฝ่ายไม่ใช่ สสส. หน่วยงานเดียว แจง ในรอบ 10 ปี รัฐขึ้นภาษีบุหรี่ 4 ครั้ง สุรา 5 ครั้ง ทำกองทุน สสส. โตขึ้น ไม่ใช่ทำงานไม่ได้ผล
นพ.บัณฑิต ศรไพศาล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวชี้แจงกรณีที่ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์คณะสถิติประยุกต์ สถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ให้ข้อมูลพาดพิง สสส. ทำงานไม่ได้ผลเพราะคนสูบบุหรี่และดื่มเหล้าไม่ลดลง และ สสส. ยังจัดเก็บเงินเข้ากองทุนเพิ่มขึ้นตลอด ว่า ผลการดำเนินการของ สสส. มีการดำเนินที่ได้ผลอย่างมาก โดยในช่วง 14 ปีนับแต่จัดตั้ง สสส. อัตราการสูบบุหรี่ของคนไทยลดลงมาอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 25 เหลือประมาณร้อยละ 20 โดยมีจำนวนผู้สูบบุหรี่ลดลงถึง 1.2 ล้านคน เมื่อเทียบกับปี 2544 ทั้งที่ประชากรเพิ่มขึ้นทุกปี หากคนไทยยังคงสูบบุหรี่ในอัตราเท่ากับปี 2544 แล้วปัจจุบันจะมีคนไทยจะมีคนสูบบุหรี่มากถึง 14 ล้านคน แต่ปรากฏว่าปัจจุบันมีคนสูบบุหรี่ประมาณ 11 ล้านคนเท่านั้น
นพ.บัณฑิต กล่าวต่อว่า สำหรับอัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็มีการลดลงอย่างต่อเนื่องจาก ร้อยละ 32.7 ในปี 2547 เหลือร้อยละ 32.3 ในปี 2557 ถึงแม้อัตราการดื่มสุราอาจดูว่าลดลงไม่มากนัก แต่จากการสำรวจสภาวะสุขภาพโดยการตรวจร่างกาย ในสองครั้งที่ผ่านมาพบว่า ผู้ที่ดื่มสุราในระดับอันตราย ลดลงถึงร้อยละ 20 และหากจากข้อมูลของสภาพัฒน์ พบว่าจำนวนเงินที่คนไทยใช้ในการซื้อเหล้า ลดลงจากปีละ 154,998 ล้านบาท เหลือเพียง 139,333 ล้านบาท หรือลดลงมากถึง 15,665 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ ข้อมูลจำนวนผู้สูญเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ก็ลดลงถึงร้อยละ 48 ซึ่งพบว่ามูลค่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุลดลงจากปีละ 286,885 ล้านบาท เหลือ 185,444 ล้านบาท หรือลดลงถึงปีละประมาณหนึ่งแสนล้านบาท
“สสส. ไม่ได้บอกว่าการมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งหมดเกิดจากผลงานของ สสส. เพียงหน่วยเดียว แต่ สสส. ก็เป็นหน่วยงานหลักที่เข้าไปร่วมทำงานกับทุกหน่วยงาน จนเกิดผลสำเร็จได้อย่างชัดเจน” ดร.นพ.บัณฑิต กล่าว
นพ.บัณฑิต กล่าวต่อว่า สำหรับเหตุผลที่ว่าทำไมคนสูบบุหรี่ลดลง ดื่มเหล้าน้อยลง แต่ทำไมรายได้ สสส. มากขึ้น ก็เพราะในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีการเพิ่มอัตราภาษีบุหรี่ถึง 4 ครั้ง และเพิ่มอัตราภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 5 ครั้ง โดยอัตราภาษีบุหรี่มีการเพิ่มจากร้อยละ 75 เป็นร้อยละ 87 ในปัจจุบัน และต้องบอกว่าจากการทำงานของ สสส. ทำให้เกิดบรรยากาศและคนเห็นด้วยในการปรับขึ้นภาษีจำนวนมาก ไม่เช่นนั้นในหลายประเทศทั่วโลก รัฐบาลไม่สามารถปรับอัตราภาษีได้เลย เพราะจะมีแรงต้านอย่างมากจากธุรกิจที่เสียประโยชน์เหล่านี้
“หลาย ๆ คนอาจมองว่างบประมาณของ สสส. ดูเพิ่มมากจนน่ากังวล สสส. อยากให้ลองเปรียบเทียบงบประมาณของ สสส. กับ กระทรวงสาธารณสุข จะพบว่าในช่วงสิบปีที่ผ่านมา สัดส่วนงบประมาณของสสส. ลดลงจากจากร้อยละ 5.42 เหลือเพียงร้อยละ 3.75 เท่านั้น ดังนั้น ความเป็นจริงก็คือเงินของ สสส. เมื่อเทียบกับระบบภาพใหญ่แล้วกลับมีสัดส่วนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ที่เป็นเช่นนี้เพราะทุกปีประเทศไทยมีคนเพิ่มขึ้น ค่าเงินก็ลดลงทุกวันเพราะมีปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อ แต่ธุรกิจบุหรี่และเหล้ากลับชะลอตัวลง นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า สสส. ทำงานได้ผล ถ้า สสส. ทำงานไม่ได้ผลเราคงไม่ได้รับแรงต่อต้านจากธุรกิจที่เสียประโยชน์เหล่านี้มากขนาดนี้” นพ.บัณฑิต กล่าว
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
นพ.บัณฑิต ศรไพศาล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวชี้แจงกรณีที่ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์คณะสถิติประยุกต์ สถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ให้ข้อมูลพาดพิง สสส. ทำงานไม่ได้ผลเพราะคนสูบบุหรี่และดื่มเหล้าไม่ลดลง และ สสส. ยังจัดเก็บเงินเข้ากองทุนเพิ่มขึ้นตลอด ว่า ผลการดำเนินการของ สสส. มีการดำเนินที่ได้ผลอย่างมาก โดยในช่วง 14 ปีนับแต่จัดตั้ง สสส. อัตราการสูบบุหรี่ของคนไทยลดลงมาอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 25 เหลือประมาณร้อยละ 20 โดยมีจำนวนผู้สูบบุหรี่ลดลงถึง 1.2 ล้านคน เมื่อเทียบกับปี 2544 ทั้งที่ประชากรเพิ่มขึ้นทุกปี หากคนไทยยังคงสูบบุหรี่ในอัตราเท่ากับปี 2544 แล้วปัจจุบันจะมีคนไทยจะมีคนสูบบุหรี่มากถึง 14 ล้านคน แต่ปรากฏว่าปัจจุบันมีคนสูบบุหรี่ประมาณ 11 ล้านคนเท่านั้น
นพ.บัณฑิต กล่าวต่อว่า สำหรับอัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็มีการลดลงอย่างต่อเนื่องจาก ร้อยละ 32.7 ในปี 2547 เหลือร้อยละ 32.3 ในปี 2557 ถึงแม้อัตราการดื่มสุราอาจดูว่าลดลงไม่มากนัก แต่จากการสำรวจสภาวะสุขภาพโดยการตรวจร่างกาย ในสองครั้งที่ผ่านมาพบว่า ผู้ที่ดื่มสุราในระดับอันตราย ลดลงถึงร้อยละ 20 และหากจากข้อมูลของสภาพัฒน์ พบว่าจำนวนเงินที่คนไทยใช้ในการซื้อเหล้า ลดลงจากปีละ 154,998 ล้านบาท เหลือเพียง 139,333 ล้านบาท หรือลดลงมากถึง 15,665 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ ข้อมูลจำนวนผู้สูญเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ก็ลดลงถึงร้อยละ 48 ซึ่งพบว่ามูลค่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุลดลงจากปีละ 286,885 ล้านบาท เหลือ 185,444 ล้านบาท หรือลดลงถึงปีละประมาณหนึ่งแสนล้านบาท
“สสส. ไม่ได้บอกว่าการมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งหมดเกิดจากผลงานของ สสส. เพียงหน่วยเดียว แต่ สสส. ก็เป็นหน่วยงานหลักที่เข้าไปร่วมทำงานกับทุกหน่วยงาน จนเกิดผลสำเร็จได้อย่างชัดเจน” ดร.นพ.บัณฑิต กล่าว
นพ.บัณฑิต กล่าวต่อว่า สำหรับเหตุผลที่ว่าทำไมคนสูบบุหรี่ลดลง ดื่มเหล้าน้อยลง แต่ทำไมรายได้ สสส. มากขึ้น ก็เพราะในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีการเพิ่มอัตราภาษีบุหรี่ถึง 4 ครั้ง และเพิ่มอัตราภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 5 ครั้ง โดยอัตราภาษีบุหรี่มีการเพิ่มจากร้อยละ 75 เป็นร้อยละ 87 ในปัจจุบัน และต้องบอกว่าจากการทำงานของ สสส. ทำให้เกิดบรรยากาศและคนเห็นด้วยในการปรับขึ้นภาษีจำนวนมาก ไม่เช่นนั้นในหลายประเทศทั่วโลก รัฐบาลไม่สามารถปรับอัตราภาษีได้เลย เพราะจะมีแรงต้านอย่างมากจากธุรกิจที่เสียประโยชน์เหล่านี้
“หลาย ๆ คนอาจมองว่างบประมาณของ สสส. ดูเพิ่มมากจนน่ากังวล สสส. อยากให้ลองเปรียบเทียบงบประมาณของ สสส. กับ กระทรวงสาธารณสุข จะพบว่าในช่วงสิบปีที่ผ่านมา สัดส่วนงบประมาณของสสส. ลดลงจากจากร้อยละ 5.42 เหลือเพียงร้อยละ 3.75 เท่านั้น ดังนั้น ความเป็นจริงก็คือเงินของ สสส. เมื่อเทียบกับระบบภาพใหญ่แล้วกลับมีสัดส่วนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ที่เป็นเช่นนี้เพราะทุกปีประเทศไทยมีคนเพิ่มขึ้น ค่าเงินก็ลดลงทุกวันเพราะมีปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อ แต่ธุรกิจบุหรี่และเหล้ากลับชะลอตัวลง นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า สสส. ทำงานได้ผล ถ้า สสส. ทำงานไม่ได้ผลเราคงไม่ได้รับแรงต่อต้านจากธุรกิจที่เสียประโยชน์เหล่านี้มากขนาดนี้” นพ.บัณฑิต กล่าว
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
