เดินหน้าโครงการ “เมาขับจับขัง” ภาคประชาชนเร่งล่า 1 ล้านรายชื่อ ยื่น “บิ๊กตู่” ใช้ยาแรงพวกเมาแล้วขับ ให้จับเข้าคุกทันที มูลนิธิเมาไม่ขับชี้ไม่ต้องแก้กฎหมายเดิม เหตุโทษระบุชัดอยู่แล้วจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5 พัน - 2 หมื่น แต่กลับลงโทษแค่ปรับพ่วงคุมประพฤติ อ้างผลวิจัย 90% คนเมาแล้วขับไม่กล้าขับหากใช้โทษจำคุก ด้านเครือข่ายจักรยานเตรียมปั่นจากทุกภาคร่วมยื่นรายชื่อ
วันนี้ (23 พ.ค.) ที่โรงแรมริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ นายกฤษดา กำแพงแก้ว ประธานโครงการรณรงค์ “เมาขับ จับขัง” แถลงข่าวโครงการรณรงค์เมาขับจับขัง จัดโดยเครือข่ายผู้ใช้จักรยานทั่วประเทศไทย ร่วมกับมูลนิธิเมาไม่ขับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่า โศกนาฏกรรมนักปั่นจักรยานถูกคนเมาแล้วขับชนเสียชีวิต 3 ศพ ที่ จ.เชียงใหม่ ทำให้กลุ่มนักปั่นจักรยาน มีความเห็นพ้องกันว่า ถ้ายังมีคนเมาขับรถอยู่บนท้องถนน ก็ยังไม่สามารถจะรับประกันความปลอดภัยได้ มีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก จึงมีแนวความคิดที่จะขอให้ผู้มีอำนาจได้ใช้ยาแรงกับพวกที่เมาแล้วขับ โดยเห็นว่าหากใช้โทษกักขังหรือจำคุกแบบไม่รอลงอาญา ซึ่งไม่ต้องไปแก้ไขกฎหมายเดิมแต่อย่างใด ก็จะทำให้พวกที่เมาแล้วขับเกิดความเกรงกลัวและไม่กล้ามาขับรถอีก จึงได้รวมตัวกันรณรงค์ล่ารายชื่อของประชาชนที่เห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว เพื่อนำไปมอบให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และประธานศาลฎีกา เพื่อช่วยให้แนวคิดดังกล่าวได้เป็นจริงขึ้นมา
นายกฤษดา กล่าวว่า ทั้งนี้ ตั้งเป้าล่าให้ได้ 1,000,000 ชื่อ แล้วจะมอบให้ น.ส.ก้องกานต์ ย่องลั่น และ น.ส.นินนท์ ย่องลั่น บุตรสาวของ นายชัยรัตน์ ย่องลั่น 1 ในเหยื่อผู้สูญเสียขี่จักรยานจากเชียงใหม่ นำรายชื่อดังกล่าวไปมอบให้กับนายกฯ โดยจะออกเดินทางในวันที่ 3 มิ.ย. 2558 พร้อมกับนักปั่นจักรยานของชมรมสันทราย ผ่าน จ.ลำพูน ลำปาง ตาก กำแพงเพชร นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี สิงห์บุรี อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา คาดว่า จะถึง กทม. ในวันที่ 9 มิ.ย. 2558
น.ส.ก้องกานต์ กล่าวว่า ชีวิตของคุณพ่อคงไม่มีวันที่จะหวนกลับคืนมาได้ แต่หากความตายของคุณพ่อสามารถทำให้เกิดยาแรงกับพวกเมาแล้วขับได้คุณพ่อก็จะไม่ตายฟรี
นายกิตติ สุวัฒน์เมฆินทร์ ตัวแทนเครือข่ายผู้ใช้จักรยานประเทศไทย กล่าวว่า พอทราบข่าวว่าทางเชียงใหม่จะปั่นจักรยานรณรงค์ “เมาขับจับขัง” จึงชักชวนเพื่อนนักปั่นจากทุกภาคมาร่วมกันปั่น เพื่อมาสมทบกับขบวนของเชียงใหม่ที่กรุงเทพฯ ดังนั้นนอกจากจะมีนักปั่นจากภาคเหนือที่เป็นแกนหลักแล้ว ยังมีนักปั่นจากภาคใต้ ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง มาร่วมกันล่ารายชื่อให้ได้ 1 ล้านชื่อ เพื่อสนับสนุนโครงการดังกล่าวให้ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้
นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวว่า เห็นด้วยกับการใช้ยาแรงดังกล่าว ที่ผ่านมา 20 ปี มูลนิธิเมาไม่ขับได้รณรงค์มาตลอด แต่ก็ยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร ปัจจุบันประเทศไทยติดอันดับประเทศที่มีอัตราผู้เสียชีวิตสูงสุดจากอุบัติเหตุทางถนนเป็นอันดับ 3 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ในทวีปเอเชีย ในแต่ละปีมีคนไทยเสียชีวิต 24,000 คน บาดเจ็บกว่า 1,000,000 คน พิการอีกกว่า 50,000 คน คิดเป็นมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 5 แสนล้านบาทต่อปี และความสูญเสียดังกล่าวส่วนใหญ่เกิดจากการเมาแล้วขับ แม้ว่าจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000 - 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนเมาแล้วขับอยู่ในขั้นที่เบา ส่วนใหญ่จะแค่ปรับและคุมประพฤติส่วนโทษจำคุกมักรอลงอาญา ทำให้คนไม่เกรงกลัวและพร้อมที่จะฝ่าฝืนกฎหมาย
ทั้งนี้ จากงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ได้ทำการวิจัยไว้พบว่า ผู้ที่เมาแล้วขับกว่าร้อยละ 90 มีความเห็นว่าถ้าบทลงโทษของกฎหมายมีความรุนแรงถึงขั้นจำคุกหรือกักขัง ผู้ที่เมาแล้วขับจะไม่กล้าฝ่าฝืนกฎหมาย เนื่องจากกลัวบทลงโทษที่จะได้รับ ดังนั้น ต่อจากนี้ไปจะไม่รณรงค์แค่เมาไม่ขับเท่านั้น แต่จะเพิ่มเป็น เมาขับจับขัง และจะเป็นก้าวใหม่ในการขับเคลื่อนของมูลนิธิเมาไม่ขับ อยากวิงวอนไปยังผู้มีอำนาจในกระบวนการยุติธรรมขอให้ลงโทษผู้ที่เมาแล้วขับสถานหนัก เพื่อลดความสูญเสียในชีวิตของคนไทยซึ่งจะเป็นการคืนความสุขให้คนไทยได้อย่างแท้จริง
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
วันนี้ (23 พ.ค.) ที่โรงแรมริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ นายกฤษดา กำแพงแก้ว ประธานโครงการรณรงค์ “เมาขับ จับขัง” แถลงข่าวโครงการรณรงค์เมาขับจับขัง จัดโดยเครือข่ายผู้ใช้จักรยานทั่วประเทศไทย ร่วมกับมูลนิธิเมาไม่ขับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่า โศกนาฏกรรมนักปั่นจักรยานถูกคนเมาแล้วขับชนเสียชีวิต 3 ศพ ที่ จ.เชียงใหม่ ทำให้กลุ่มนักปั่นจักรยาน มีความเห็นพ้องกันว่า ถ้ายังมีคนเมาขับรถอยู่บนท้องถนน ก็ยังไม่สามารถจะรับประกันความปลอดภัยได้ มีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก จึงมีแนวความคิดที่จะขอให้ผู้มีอำนาจได้ใช้ยาแรงกับพวกที่เมาแล้วขับ โดยเห็นว่าหากใช้โทษกักขังหรือจำคุกแบบไม่รอลงอาญา ซึ่งไม่ต้องไปแก้ไขกฎหมายเดิมแต่อย่างใด ก็จะทำให้พวกที่เมาแล้วขับเกิดความเกรงกลัวและไม่กล้ามาขับรถอีก จึงได้รวมตัวกันรณรงค์ล่ารายชื่อของประชาชนที่เห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว เพื่อนำไปมอบให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และประธานศาลฎีกา เพื่อช่วยให้แนวคิดดังกล่าวได้เป็นจริงขึ้นมา
นายกฤษดา กล่าวว่า ทั้งนี้ ตั้งเป้าล่าให้ได้ 1,000,000 ชื่อ แล้วจะมอบให้ น.ส.ก้องกานต์ ย่องลั่น และ น.ส.นินนท์ ย่องลั่น บุตรสาวของ นายชัยรัตน์ ย่องลั่น 1 ในเหยื่อผู้สูญเสียขี่จักรยานจากเชียงใหม่ นำรายชื่อดังกล่าวไปมอบให้กับนายกฯ โดยจะออกเดินทางในวันที่ 3 มิ.ย. 2558 พร้อมกับนักปั่นจักรยานของชมรมสันทราย ผ่าน จ.ลำพูน ลำปาง ตาก กำแพงเพชร นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี สิงห์บุรี อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา คาดว่า จะถึง กทม. ในวันที่ 9 มิ.ย. 2558
น.ส.ก้องกานต์ กล่าวว่า ชีวิตของคุณพ่อคงไม่มีวันที่จะหวนกลับคืนมาได้ แต่หากความตายของคุณพ่อสามารถทำให้เกิดยาแรงกับพวกเมาแล้วขับได้คุณพ่อก็จะไม่ตายฟรี
นายกิตติ สุวัฒน์เมฆินทร์ ตัวแทนเครือข่ายผู้ใช้จักรยานประเทศไทย กล่าวว่า พอทราบข่าวว่าทางเชียงใหม่จะปั่นจักรยานรณรงค์ “เมาขับจับขัง” จึงชักชวนเพื่อนนักปั่นจากทุกภาคมาร่วมกันปั่น เพื่อมาสมทบกับขบวนของเชียงใหม่ที่กรุงเทพฯ ดังนั้นนอกจากจะมีนักปั่นจากภาคเหนือที่เป็นแกนหลักแล้ว ยังมีนักปั่นจากภาคใต้ ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง มาร่วมกันล่ารายชื่อให้ได้ 1 ล้านชื่อ เพื่อสนับสนุนโครงการดังกล่าวให้ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้
นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวว่า เห็นด้วยกับการใช้ยาแรงดังกล่าว ที่ผ่านมา 20 ปี มูลนิธิเมาไม่ขับได้รณรงค์มาตลอด แต่ก็ยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร ปัจจุบันประเทศไทยติดอันดับประเทศที่มีอัตราผู้เสียชีวิตสูงสุดจากอุบัติเหตุทางถนนเป็นอันดับ 3 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ในทวีปเอเชีย ในแต่ละปีมีคนไทยเสียชีวิต 24,000 คน บาดเจ็บกว่า 1,000,000 คน พิการอีกกว่า 50,000 คน คิดเป็นมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 5 แสนล้านบาทต่อปี และความสูญเสียดังกล่าวส่วนใหญ่เกิดจากการเมาแล้วขับ แม้ว่าจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000 - 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนเมาแล้วขับอยู่ในขั้นที่เบา ส่วนใหญ่จะแค่ปรับและคุมประพฤติส่วนโทษจำคุกมักรอลงอาญา ทำให้คนไม่เกรงกลัวและพร้อมที่จะฝ่าฝืนกฎหมาย
ทั้งนี้ จากงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) ได้ทำการวิจัยไว้พบว่า ผู้ที่เมาแล้วขับกว่าร้อยละ 90 มีความเห็นว่าถ้าบทลงโทษของกฎหมายมีความรุนแรงถึงขั้นจำคุกหรือกักขัง ผู้ที่เมาแล้วขับจะไม่กล้าฝ่าฝืนกฎหมาย เนื่องจากกลัวบทลงโทษที่จะได้รับ ดังนั้น ต่อจากนี้ไปจะไม่รณรงค์แค่เมาไม่ขับเท่านั้น แต่จะเพิ่มเป็น เมาขับจับขัง และจะเป็นก้าวใหม่ในการขับเคลื่อนของมูลนิธิเมาไม่ขับ อยากวิงวอนไปยังผู้มีอำนาจในกระบวนการยุติธรรมขอให้ลงโทษผู้ที่เมาแล้วขับสถานหนัก เพื่อลดความสูญเสียในชีวิตของคนไทยซึ่งจะเป็นการคืนความสุขให้คนไทยได้อย่างแท้จริง
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่