ร.ร. เอกชน หวั่นเจอภาษีรีดเลือด หลังได้ข่าวอาจถูกเก็บภาษีนิติบุคคลเพิ่ม หนำซ้ำยังมีกรณีภาษีที่ดินอีก วอนยกเว้นหากเกิบเพิ่มอาจมี ร.ร. ถอดใจเลิกกิจการได้ พร้อมขอปรับเพิ่มสัดส่วนจัดการศึกษาเป็น 50:50 จากเดิมอยู่ที่รัฐ 70:30 ด้าน “ณรงค์” ไม่ฟันธงกำหนดสัดส่วนระบุต้องดูการบริหารจัดการภาคเอกชนด้วย แต่อนาคตถ้า ร.ร. เอกชนพื้นที่ใดจัดการศึกษาได้ดี ผู้ปกครองยอมรับภาครัฐจะถอยออกมา
วันนี้ (12 มี.ค.) ที่โรงเรียนไผทอุดมศึกษา พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดการประชุมผู้บริหารโรงเรียนเอกชน ประจำปี 2558 ซึ่งมีผู้บริหารโรงเรียนเอกชน ทั้งจากส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ประมาณ 1,000 คนเข้าร่วมตอนหนึ่งว่า ระบบการศึกษาไทยมีปัญหาเห็นได้จากการวัดผล ประเมินผลต่างๆ ทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ โดยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อบ้านไทยจะอยู่ในอันดับท้ายๆ ทั้งที่รัฐบาลให้งบสนับสนุน ศธ. มากที่สุด ปัญหาหนึ่งเพราะการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล นโยบายก็จะถูกปรับเปลี่ยนไปทำให้ขาดความไม่ต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนของตนเองแม้จะมารับผิดชอบในตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ เพียงไม่กี่เดือนแต่ก็จะพยายามวางนโยบายและยุทธศาสตร์การศึกษาระดับชาติไว้ เมื่อรัฐบาลใหม่เข้ามาก็จะสามารถเดินตามนโยบายดังกล่าวได้ทันที
อย่างไรก็ตาม สำหรับโรงเรียนเอกชนนั้น มีบทบาทสำคัญในการช่วยสนับสนุนการจัดการศึกษาของรัฐและยังสามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพ ซึ่ง ศธ. ยินดีให้การสนับสนุนต่อเนื่อง เพราะยิ่งเอกชนช่วยจัดการศึกษามากเท่าไร ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาลได้มากเท่านั้น ซึ่งในความคิดตนภาคเอกชนค่อนข้างทำได้ดี และต่อไปถ้าพื้นที่ใดที่มีโรงเรียนเอกชนเข้าไปจัดการการเรียนการสอนได้ดี มีคุณภาพ และผู้ปกครองให้การยอมรับภาครัฐพร้อมถอยออกมา แต่คงไม่สามารถกำหนดเป้าหมายว่าจะแบ่งสัดส่วนการจัดการศึกษาระหว่างภาครัฐ และเอกชนอยู่ที่เท่าไรต้องขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของภาคเอกชนด้วย
ด้าน นางจิระพันธุ์ พิมพ์พันธุ์ ประธานสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า อยากขอให้รัฐบาลปรับเพิ่มสัดส่วนการจัดการศึกษาระหว่างภาครัฐและเอกชนเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 70:30 เป็น 50:50 เพราะที่ผ่านมาโรงเรียนเอกชนยึดหลักการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ หากไม่ดีผู้ปกครองก็จะไม่ส่งลูกมาเรียน ขณะเดียวกัน อยากให้เข้ามาดูในเรื่องของการจัดเก็บภาษี เพราะได้ยินมาว่าต่อไปรัฐบาลจะเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากโรงเรียนด้วย และตอนนี้ยังมีประเด็นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้นมาอีก หากจัดเก็บกับโรงเรียนเอกชนด้วยจะทำให้โรงเรียนได้รับความเดือดร้อน เพราะปกติโรงเรียนเอกชนก็ต้องเสียภาษีต่างๆ อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นภาษีโรงเรือน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นต้น เพราะฉะนั้น จึงอยากให้รัฐบาลพิจารณายกเว้นการเก็บภาษีดังกล่าวกับโรงเรียนเอกชน เพราะหากยังต้องมาเสียภาษีดังกล่าวอีกอาจจะส่งผลกระทบให้โรงเรียนต้องแบกภาระเพิ่มขึ้น และจะให้เก็บค่าเรียนเพิ่มจากผู้ปกครองก็จะเป็นการผลักภาระไปให้ผู้ปกครอง ซึ่งทำไม่ได้ อีกทั้ง สช. กำหนดเพดานค่าเรียนไว้ด้วยซึ่งที่สุดแล้วแบกรับภาระไม่ไหวจริงก็อาจจะมีบางโรงถอดใจปิดกิจการ โดยเฉพาะโรงเรียนในทำเลใจกลางเมืองซึ่งที่ดินราคาแพง
นอกจากนั้น ยังอยากให้ประสานกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ช่วยประกาศผลสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนเมษายน เพราะหากครูโรงเรียนเอกชนสอบได้ ทางโรงเรียนจะได้มีเวลาหาครูมาทดแทน แต่หากประกาศหลังจากนั้น โรงเรียนเอกชนก็จะหาครูมาทดแทนไม่ทัน ทำให้มีปัญหากับการเรียนการสอน ขณะเดียวกัน อยากให้ดูแลเรื่องการรับนักเรียนของโรงเรียนรัฐ ไม่อยากให้เปิดรับหลายรอบ เพราะส่งผลให้จำนวนเด็กโรงเรียนเอกชนลดลง
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่