อาจารย์มหา'ลัย ร่วมจวก ผู้ประกันตน - บุคลากรสถาบันอุดมศึกษาจ่ายสมทบกองทุนประกันสังคม รวมกว่า 1,925 บาทต่อคนต่อเดือน สูงกว่าภาระรัฐอุ้มสิทธิข้าราชการต่อราย แต่ได้ “ยาเกรดประกันสังคม” คุณภาพห่วยกว่า เสี่ยงเกิดผลข้างเคียง

รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะเลขาธิการศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ กล่าวว่า จากผลงานวิจัยของโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ที่พบว่า กองทุนประกันสังคมมีสิทธิการรักษาพยาบาลยอดแย่ การพัฒนาสิทธิประโยชน์ที่ไม่เปิดให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะประชาชนได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น ทำให้เกิดคำถามหนักขึ้นกับกองทุนขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทยที่มีเงินสะสมกว่า 9 แสนล้านบาท ทั้งที่ผู้ประกันตนต้องร่วมจ่ายต่อหัว 750 บาทต่อเดือน หน่วยงานจ่าย 750 บาทต่อเดือน และรัฐจ่าย 425.50 บาทต่อเดือน รวมแล้วกว่า 1,925.50 บาทต่อเดือน แต่กลับได้รับสิทธิการรักษาที่แย่กว่า
รศ.ดร.วีรชัย กล่าวว่า ไม่เพียงแต่ลูกจ้างและพนักงานบริษัทเท่านั้นที่ใช้กองทุนประกันสังคม ยังมีกลุ่มบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาจำนวนกว่าแสนคนที่ไม่ใช่ข้าราชการ อยู่ในกองทุนนี้ด้วย ทั้งที่เมื่อรวมเงินจากทั้ง 3 ส่วนแล้วคือ ลูกจ้าง นายจ้าง และภาครัฐ จ่ายเข้ากองทุนจำนวน 1,925.50 บาทต่อเดือน ซึ่งมากกว่ารัฐแบกภาระต่อหัวข้าราชการเดือนละ 1,000 บาทต่อสิทธิ์ข้าราชการ 1 ราย แต่เมื่อเปรียบเทียบสิทธิการรักษาโดยเฉพาะการได้รับยาแล้วนั้น กลับได้รับสิทธิที่ด้อยกว่ามาก และยังต้องมารับความเสี่ยงจากการรับยาเกรดกองทุนประกันสังคมอีก 5 กลุ่ม คือ 1. ยาไขมันในบัญชียาหลักแห่งชาติ โดยข้าราชการสามารถใช้ยาไขมันโรสุวาสแตติน (Rosuvastatin) ซึ่งมีราคาแพงได้ ลดไขมันได้ดีกว่า แต่ประกันสังคมใช้ไม่ได้ แต่ให้ไปใช้ยาซิมวาสแตติน (Simvastatin) ซึ่งมีราคาถูกมากแทน โดยเพิ่มขนาดรับประทาน ซึ่งถ้าเพิ่มมากเกิดผลข้างเคียง
รศ.ดร.วีรชัย กล่าวว่า 2. กลุ่มยาไวรัสตับอักเสบบีและซี เช่น ยาเพกินเทอเฟอรอน (Peginterferon) เข็มละเป็นหมื่นบาท ข้าราชการใช้ได้สบายใจ ส่วนประกันสังคมต้องไปใช้ยาลามิวูดีน (lamivudine) เม็ดหนึ่ง 2 - 3 บาท 3. ยาลดกรด เช่น กลุ่มพรีวาซิด (Prevacid) และเน็กเซียม (Nexium) มีประสิทธิภาพการรักษาดีมากราคาสูง ต่างจากยาเกรดประกันสังคม คือ ยามิราซิด (Miracid) ราคากล่องละ 10 บาท ประสิทธิภาพก็ตามเนื้อผ้า 4. ยาต้านเชื้อรา เช่น ยาคาสโปฟังกิน (Caspofungin) รักษาเชื้อราดื้อยาและมีพิษต่อไตน้อย ข้าราชการใช้ได้เต็มที่ ส่วนประกันสังคมใช้ยาแอมโฟเทอริซิน บี (Amphotericin B) ซึ่งมีพิษต่อไตสูง และ 5. ยาแก้ปวดอาค็อกเซีย (Arcoxia) และซีลีเบร็กซ์ (Celebrex) เป็นยาแก้ปวดที่ไม่กัดกระเพาะ ราคาแผงละ 300 บาท ข้าราชการเท่านั้นที่ใช้ได้ ส่วนประกันสังคมจะต้องใช้ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือยาไดโคลฟีแนค (Diclofenac) แผงละ 25 บาท ซึ่งระคายเคืองกระเพาะสูง เสี่ยงต่อเลือดออกในทางเดินอาหารโดยเฉพาะคนที่มีประวัติเป็นโรคกระเพาะมาก่อน
“บุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาจำนวนกว่าแสนคนที่ไม่ใช่ข้าราชการ นอกจากจะมีสัญญาจ้างแบบพนักงานมหาวิทยาลัย มีความเสี่ยงในหน้าที่การงานสูงแล้ว ต้องมาเสี่ยงเพิ่มกับยาเกรดประกันสังคม ร่วมชะตากรรมกับพี่น้องผู้ประกันตนอีกหลายล้านคน เรียกว่า เสี่ยงเบิ้ลสองเด้ง ถึงเวลาหรือยัง ที่จะปฏิรูประบบประกันสุขภาพ คืนความสุขให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศอย่างเท่าเทียมกัน” รศ.ดร.วีรชัย กล่าว
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะเลขาธิการศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ กล่าวว่า จากผลงานวิจัยของโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ที่พบว่า กองทุนประกันสังคมมีสิทธิการรักษาพยาบาลยอดแย่ การพัฒนาสิทธิประโยชน์ที่ไม่เปิดให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะประชาชนได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น ทำให้เกิดคำถามหนักขึ้นกับกองทุนขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทยที่มีเงินสะสมกว่า 9 แสนล้านบาท ทั้งที่ผู้ประกันตนต้องร่วมจ่ายต่อหัว 750 บาทต่อเดือน หน่วยงานจ่าย 750 บาทต่อเดือน และรัฐจ่าย 425.50 บาทต่อเดือน รวมแล้วกว่า 1,925.50 บาทต่อเดือน แต่กลับได้รับสิทธิการรักษาที่แย่กว่า
รศ.ดร.วีรชัย กล่าวว่า ไม่เพียงแต่ลูกจ้างและพนักงานบริษัทเท่านั้นที่ใช้กองทุนประกันสังคม ยังมีกลุ่มบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาจำนวนกว่าแสนคนที่ไม่ใช่ข้าราชการ อยู่ในกองทุนนี้ด้วย ทั้งที่เมื่อรวมเงินจากทั้ง 3 ส่วนแล้วคือ ลูกจ้าง นายจ้าง และภาครัฐ จ่ายเข้ากองทุนจำนวน 1,925.50 บาทต่อเดือน ซึ่งมากกว่ารัฐแบกภาระต่อหัวข้าราชการเดือนละ 1,000 บาทต่อสิทธิ์ข้าราชการ 1 ราย แต่เมื่อเปรียบเทียบสิทธิการรักษาโดยเฉพาะการได้รับยาแล้วนั้น กลับได้รับสิทธิที่ด้อยกว่ามาก และยังต้องมารับความเสี่ยงจากการรับยาเกรดกองทุนประกันสังคมอีก 5 กลุ่ม คือ 1. ยาไขมันในบัญชียาหลักแห่งชาติ โดยข้าราชการสามารถใช้ยาไขมันโรสุวาสแตติน (Rosuvastatin) ซึ่งมีราคาแพงได้ ลดไขมันได้ดีกว่า แต่ประกันสังคมใช้ไม่ได้ แต่ให้ไปใช้ยาซิมวาสแตติน (Simvastatin) ซึ่งมีราคาถูกมากแทน โดยเพิ่มขนาดรับประทาน ซึ่งถ้าเพิ่มมากเกิดผลข้างเคียง
รศ.ดร.วีรชัย กล่าวว่า 2. กลุ่มยาไวรัสตับอักเสบบีและซี เช่น ยาเพกินเทอเฟอรอน (Peginterferon) เข็มละเป็นหมื่นบาท ข้าราชการใช้ได้สบายใจ ส่วนประกันสังคมต้องไปใช้ยาลามิวูดีน (lamivudine) เม็ดหนึ่ง 2 - 3 บาท 3. ยาลดกรด เช่น กลุ่มพรีวาซิด (Prevacid) และเน็กเซียม (Nexium) มีประสิทธิภาพการรักษาดีมากราคาสูง ต่างจากยาเกรดประกันสังคม คือ ยามิราซิด (Miracid) ราคากล่องละ 10 บาท ประสิทธิภาพก็ตามเนื้อผ้า 4. ยาต้านเชื้อรา เช่น ยาคาสโปฟังกิน (Caspofungin) รักษาเชื้อราดื้อยาและมีพิษต่อไตน้อย ข้าราชการใช้ได้เต็มที่ ส่วนประกันสังคมใช้ยาแอมโฟเทอริซิน บี (Amphotericin B) ซึ่งมีพิษต่อไตสูง และ 5. ยาแก้ปวดอาค็อกเซีย (Arcoxia) และซีลีเบร็กซ์ (Celebrex) เป็นยาแก้ปวดที่ไม่กัดกระเพาะ ราคาแผงละ 300 บาท ข้าราชการเท่านั้นที่ใช้ได้ ส่วนประกันสังคมจะต้องใช้ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือยาไดโคลฟีแนค (Diclofenac) แผงละ 25 บาท ซึ่งระคายเคืองกระเพาะสูง เสี่ยงต่อเลือดออกในทางเดินอาหารโดยเฉพาะคนที่มีประวัติเป็นโรคกระเพาะมาก่อน
“บุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาจำนวนกว่าแสนคนที่ไม่ใช่ข้าราชการ นอกจากจะมีสัญญาจ้างแบบพนักงานมหาวิทยาลัย มีความเสี่ยงในหน้าที่การงานสูงแล้ว ต้องมาเสี่ยงเพิ่มกับยาเกรดประกันสังคม ร่วมชะตากรรมกับพี่น้องผู้ประกันตนอีกหลายล้านคน เรียกว่า เสี่ยงเบิ้ลสองเด้ง ถึงเวลาหรือยัง ที่จะปฏิรูประบบประกันสุขภาพ คืนความสุขให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศอย่างเท่าเทียมกัน” รศ.ดร.วีรชัย กล่าว
ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่