ข่าวคราวเรื่องนักท่องเที่ยวสาวชาวต่างชาติที่ต้องมาจบชีวิตในบ้านเราหลังจากถูกฆาตกรรม ไม่ใช่ครั้งแรก เป็นเรื่องที่เกิดบ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนหลายประเทศต้องออกโรงเตือนคนของประเทศเขา ว่าเวลามาเที่ยวประเทศไทยต้องระมัดระวังตัวเองให้มาก
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เสื่อมเสียชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่มันทำให้รู้สึกกังวลด้วยเหมือนกันถ้าเราต้องเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างจังหวัดในประเทศของเราเอง และทำให้ตระหนักว่าการจะเดินทางท่องเที่ยวไม่ว่าจะไปไหนก็ตาม ไม่ใช่คำนึงถึงความสุข สนุกสนานที่จะได้รับจากการเดินทางเท่านั้น เพราะใครจะไปรู้ว่า การเดินทางครั้งต่อไป เราอาจจะตกเป็นเหยื่อของภยันตรายก็ได้
เช่นเดียวกับสาวชาวต่างชาติคนนี้ก็คงไม่คิดว่าการเดินทางมาพักผ่อนและท่องเที่ยวในบ้านเรา จะเป็นครั้งสุดท้าย และไม่มีทางได้กลับไปพบบุคคลอันเป็นที่รักของเธอได้อีกเลย ทั้งที่เธอไม่ได้เดินทางมาคนเดียว
ช่วงนี้ลูกหลานของเราใกล้ปิดเทอมกันแล้ว หลายครอบครัวคงได้วางแผนการเดินทางพาลูกและครอบครัวไปเที่ยวกันบ้างแล้ว น่าจะถือโอกาสในการให้ข้อมูลและปลูกฝังเรื่องการท่องเที่ยวแบบไม่ประมาท ให้กับพวกเขาด้วย
เพราะวันหนึ่งเขาหรือเธอก็ต้องเติบโตและต้องเดินทางโดยปราศจากพ่อแม่ ฉะนั้น ถ้าเราปลูกฝังหรือแทรกซึมเรื่องความปลอดภัยให้กับพวกเขาตั้งแต่เล็ก ก็จะทำให้ลูกของเราระมัดระวังตัวได้ในระดับหนึ่ง
ที่ผ่านมาเวลาพูดถึงเรื่องการเดินทางไปท่องเที่ยว ส่วนใหญ่ผู้คนจะนึกถึงเรื่องความปลอดภัยจากการเดินทางประเภทใช้รถใช้ถนน หรือใช้ยานพาหนะในการเดินทางซะมากกว่าที่จะนึกถึงเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินด้านอื่นๆ
แล้วเรื่องใดบ้างที่พ่อแม่ ผู้ปกครองควรจะปลูกฝังลูกเรื่องความปลอดภัย
หนึ่ง ระมัดระวังตัวเอง
เริ่มจากการคิดถึงตัวเองก่อน ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนก็ตาม ไม่ควรนำของมีค่าติดตัวไป หรือใส่เครื่องประดับราคาแพง เพราะจะตกเป็นเป้าหรือล่อตาล่อใจบรรดามิจฉาชีพ เพราะเหยื่อของบรรดามิจฉาชีพส่วนใหญ่ มักจะใช้กระเป๋าแบรนด์เนม หรือสวมใส่สิ่งของมีค่า
หรือแม้แต่การแต่งตัว โดยเฉพาะผู้หญิงก็อย่าแต่งกายล่อแหลม ควรใส่ให้มิดชิด เอาแต่พอดี เพราะเราไม่รู้หรอกว่าจะมีมิจฉาชีพแฝงตัวอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวตรงไหนบ้าง
สอง สังเกตสิ่งรอบตัว
ฝึกให้ลูกเป็นคนช่างสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว ทั้งผู้คนและสถานที่ เช่น ถ้าจะไปพักที่โรงแรมไหน ก็ควรจะต้องดูเรื่องความปลอดภัย เช่น ห้องพักอยู่ตรงไหน ระบบกุญแจห้องพักเป็นแบบไหน บอกลูกว่าไม่ว่าจะมีล็อกกี่ชั้นก็ควรจะล็อกให้หมด แล้วห้องพักใกล้กับบริเวณใด บันไดหนีไฟอยู่ตรงไหน หากเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้เตรียมทางหนีทีไล่ได้ทัน หรือแม้แต่การสังเกตผู้คนรอบตัวก็มีความสำคัญ ถ้ามีความผิดปกติ เราจะจับสังเกตได้
สาม ไม่ไปในที่เปลี่ยว
ข้อนี้ต้องทำให้เป็นนิสัย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต้องไม่ไปในที่เปลี่ยวหรือสุ่มเสี่ยง ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องพาเพื่อนไปด้วย หรือไปในตอนกลางวันจะปลอดภัยกว่า กรณีของสถานที่ท่องเที่ยว ถ้าเป็นเวลากลางคืน บริเวณชายหาดหรือพื้นที่สาธารณะก็ต้องถือเป็นสถานที่อันตราย ไม่ควรเดินตามลำพัง ยิ่งถ้าไปต่างถิ่น ช่วงกลางคืนควรอยู่ในสถานที่พัก
สี่ อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า
ถ้าพ่อแม่สอนลูกตั้งแต่เล็กเรื่องนี้ ก็จะทำให้เขาเติบโตขึ้นไปด้วยความระมัดระวัง และไม่ไว้วางใจคนแปลกหน้า เพราะปัจจุบันมิจฉาชีพที่แฝงตัวมาในคราบแต่งตัวดี หรือทำให้ไว้ใจก็มีมากมาย ฉะนั้น เพื่อความปลอดภัย ถ้าอยู่ในต่างถิ่นควรจะมีเพื่อนในการเดินทางไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ
ห้า บอกคนใกล้ชิดทุกครั้ง
ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนควรฝึกให้เขาบอกคุณหรือใครสักคนที่สนิท โดยให้เขาพูดความจริงเสมอ เพราะมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่โกหกพ่อแม่เพื่อไปเที่ยว และเมื่อเกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้นมา ก็อาจทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือใดๆ ได้ทันท่วงที ฉะนั้น ต้องพูดคุยและฝึกให้ลูกพูดความจริงเสมอ เวลาจะเดินทางไปไหนก็ให้เขาบอกว่าขณะนี้อยู่ที่ไหนกับใคร ก็จะช่วยป้องกันได้มาก เพราะบรรดามิจฉาชีพมักจะไม่เลือกเหยื่อที่บอกข้อมูลว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหนอยู่กับใคร เช่น บอกว่าตอนนี้อยู่บนรถแท็กซี่ ตอนนี้ถึงที่หมายแล้ว พักอยู่ห้องหมายเลขอะไร ที่ไหน
หรือแม้แต่จะออกไปเดินเล่นใกล้ๆ ก็ต้องฝึกให้บอกคนที่เดินทางไปด้วย ก็จะช่วยเป็นหูเป็นตาได้ระดับหนึ่ง
เรื่องเหล่านี้ จะว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็ได้ เพราะมันจะไม่ใหญ่เมื่อมันไม่เกิดเรื่อง แต่มันจะใหญ่มากทันทีเมื่อเกิดเรื่อง !
ฉะนั้นทางที่ดี ถ้าเรามีความระมัดระวังตัวเองในการใช้ชีวิตอยู่แล้ว ยิ่งถ้าพ่อแม่ ผู้ปกครองเป็นแบบอย่างที่ดีในการใส่ใจเรื่องความปลอดภัย และทำให้ลูกเห็นมาตั้งแต่เขายังเล็ก เมื่อเขาเติบโตขึ้น เขาก็จะซึมซับไปด้วย
ประเด็นที่น่าห่วง น่าจะเป็นเพราะผู้ใหญ่นี่แหละที่ไม่ค่อยระมัดระวัง หรือเห็นความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยสักเท่าไหร่!
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ "Quality of Life" ได้ที่
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เสื่อมเสียชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่มันทำให้รู้สึกกังวลด้วยเหมือนกันถ้าเราต้องเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างจังหวัดในประเทศของเราเอง และทำให้ตระหนักว่าการจะเดินทางท่องเที่ยวไม่ว่าจะไปไหนก็ตาม ไม่ใช่คำนึงถึงความสุข สนุกสนานที่จะได้รับจากการเดินทางเท่านั้น เพราะใครจะไปรู้ว่า การเดินทางครั้งต่อไป เราอาจจะตกเป็นเหยื่อของภยันตรายก็ได้
เช่นเดียวกับสาวชาวต่างชาติคนนี้ก็คงไม่คิดว่าการเดินทางมาพักผ่อนและท่องเที่ยวในบ้านเรา จะเป็นครั้งสุดท้าย และไม่มีทางได้กลับไปพบบุคคลอันเป็นที่รักของเธอได้อีกเลย ทั้งที่เธอไม่ได้เดินทางมาคนเดียว
ช่วงนี้ลูกหลานของเราใกล้ปิดเทอมกันแล้ว หลายครอบครัวคงได้วางแผนการเดินทางพาลูกและครอบครัวไปเที่ยวกันบ้างแล้ว น่าจะถือโอกาสในการให้ข้อมูลและปลูกฝังเรื่องการท่องเที่ยวแบบไม่ประมาท ให้กับพวกเขาด้วย
เพราะวันหนึ่งเขาหรือเธอก็ต้องเติบโตและต้องเดินทางโดยปราศจากพ่อแม่ ฉะนั้น ถ้าเราปลูกฝังหรือแทรกซึมเรื่องความปลอดภัยให้กับพวกเขาตั้งแต่เล็ก ก็จะทำให้ลูกของเราระมัดระวังตัวได้ในระดับหนึ่ง
ที่ผ่านมาเวลาพูดถึงเรื่องการเดินทางไปท่องเที่ยว ส่วนใหญ่ผู้คนจะนึกถึงเรื่องความปลอดภัยจากการเดินทางประเภทใช้รถใช้ถนน หรือใช้ยานพาหนะในการเดินทางซะมากกว่าที่จะนึกถึงเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินด้านอื่นๆ
แล้วเรื่องใดบ้างที่พ่อแม่ ผู้ปกครองควรจะปลูกฝังลูกเรื่องความปลอดภัย
หนึ่ง ระมัดระวังตัวเอง
เริ่มจากการคิดถึงตัวเองก่อน ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนก็ตาม ไม่ควรนำของมีค่าติดตัวไป หรือใส่เครื่องประดับราคาแพง เพราะจะตกเป็นเป้าหรือล่อตาล่อใจบรรดามิจฉาชีพ เพราะเหยื่อของบรรดามิจฉาชีพส่วนใหญ่ มักจะใช้กระเป๋าแบรนด์เนม หรือสวมใส่สิ่งของมีค่า
หรือแม้แต่การแต่งตัว โดยเฉพาะผู้หญิงก็อย่าแต่งกายล่อแหลม ควรใส่ให้มิดชิด เอาแต่พอดี เพราะเราไม่รู้หรอกว่าจะมีมิจฉาชีพแฝงตัวอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวตรงไหนบ้าง
สอง สังเกตสิ่งรอบตัว
ฝึกให้ลูกเป็นคนช่างสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว ทั้งผู้คนและสถานที่ เช่น ถ้าจะไปพักที่โรงแรมไหน ก็ควรจะต้องดูเรื่องความปลอดภัย เช่น ห้องพักอยู่ตรงไหน ระบบกุญแจห้องพักเป็นแบบไหน บอกลูกว่าไม่ว่าจะมีล็อกกี่ชั้นก็ควรจะล็อกให้หมด แล้วห้องพักใกล้กับบริเวณใด บันไดหนีไฟอยู่ตรงไหน หากเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้เตรียมทางหนีทีไล่ได้ทัน หรือแม้แต่การสังเกตผู้คนรอบตัวก็มีความสำคัญ ถ้ามีความผิดปกติ เราจะจับสังเกตได้
สาม ไม่ไปในที่เปลี่ยว
ข้อนี้ต้องทำให้เป็นนิสัย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต้องไม่ไปในที่เปลี่ยวหรือสุ่มเสี่ยง ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องพาเพื่อนไปด้วย หรือไปในตอนกลางวันจะปลอดภัยกว่า กรณีของสถานที่ท่องเที่ยว ถ้าเป็นเวลากลางคืน บริเวณชายหาดหรือพื้นที่สาธารณะก็ต้องถือเป็นสถานที่อันตราย ไม่ควรเดินตามลำพัง ยิ่งถ้าไปต่างถิ่น ช่วงกลางคืนควรอยู่ในสถานที่พัก
สี่ อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า
ถ้าพ่อแม่สอนลูกตั้งแต่เล็กเรื่องนี้ ก็จะทำให้เขาเติบโตขึ้นไปด้วยความระมัดระวัง และไม่ไว้วางใจคนแปลกหน้า เพราะปัจจุบันมิจฉาชีพที่แฝงตัวมาในคราบแต่งตัวดี หรือทำให้ไว้ใจก็มีมากมาย ฉะนั้น เพื่อความปลอดภัย ถ้าอยู่ในต่างถิ่นควรจะมีเพื่อนในการเดินทางไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ
ห้า บอกคนใกล้ชิดทุกครั้ง
ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนควรฝึกให้เขาบอกคุณหรือใครสักคนที่สนิท โดยให้เขาพูดความจริงเสมอ เพราะมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่โกหกพ่อแม่เพื่อไปเที่ยว และเมื่อเกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้นมา ก็อาจทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือใดๆ ได้ทันท่วงที ฉะนั้น ต้องพูดคุยและฝึกให้ลูกพูดความจริงเสมอ เวลาจะเดินทางไปไหนก็ให้เขาบอกว่าขณะนี้อยู่ที่ไหนกับใคร ก็จะช่วยป้องกันได้มาก เพราะบรรดามิจฉาชีพมักจะไม่เลือกเหยื่อที่บอกข้อมูลว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหนอยู่กับใคร เช่น บอกว่าตอนนี้อยู่บนรถแท็กซี่ ตอนนี้ถึงที่หมายแล้ว พักอยู่ห้องหมายเลขอะไร ที่ไหน
หรือแม้แต่จะออกไปเดินเล่นใกล้ๆ ก็ต้องฝึกให้บอกคนที่เดินทางไปด้วย ก็จะช่วยเป็นหูเป็นตาได้ระดับหนึ่ง
เรื่องเหล่านี้ จะว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็ได้ เพราะมันจะไม่ใหญ่เมื่อมันไม่เกิดเรื่อง แต่มันจะใหญ่มากทันทีเมื่อเกิดเรื่อง !
ฉะนั้นทางที่ดี ถ้าเรามีความระมัดระวังตัวเองในการใช้ชีวิตอยู่แล้ว ยิ่งถ้าพ่อแม่ ผู้ปกครองเป็นแบบอย่างที่ดีในการใส่ใจเรื่องความปลอดภัย และทำให้ลูกเห็นมาตั้งแต่เขายังเล็ก เมื่อเขาเติบโตขึ้น เขาก็จะซึมซับไปด้วย
ประเด็นที่น่าห่วง น่าจะเป็นเพราะผู้ใหญ่นี่แหละที่ไม่ค่อยระมัดระวัง หรือเห็นความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยสักเท่าไหร่!
ติดตาม Instagram และ Facebook Fanpage ของ "Quality of Life" ได้ที่