ใครว่าสิวเป็นแค่เรื่องขี้ปะติ๋ว สำหรับคนรักสวยรักงาม หรือปัจจุบันอาจจะรักความหล่อ ขอพูดเลยว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ เพราะหากดูแลรักษาสิวไม่ดี โดยเฉพาะสิวอักเสบ ก็จะมีรอยระลึกของแผลเป็นจากสิวฝากเอาไว้ให้เห็นแบบลืมไม่ลงเลยทีเดียว
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจก่อนว่ารอยแผลเป็นสิวเกิดขึ้นได้อย่างไร นั่นก็คือ เกิดจากการอักเสบของสิว โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ยิ่งทำการบีบ แกะ เกาสิวก็จะยิ่งทิ้งรอยเอาไว้ มีอยู่ 3 แบบ คือแบบหลุม เกิดจากการทำลายเนื้อเยื่อคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ทำให้เป็นรอยบุ๋ม แบบเป็นเนื้อนูน เกิดจากการทำลายเนื้อเยื่อในชั้นหนังแท้ แต่มีการซ่อมแซมของผิวมากกว่าปกติทำให้เนื้อนูนขึ้น และการเปลี่นแปลงของสี หรือรอยแดง
ทั้งนี้ พญ.มาริษา พงศ์พฤฒิพันธ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนัง รพ.จุฬาลงกรณ์ และคณะอนุกรรมการวิชาการ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวถึงแผลเป็นไว้ในงาน “ไขปริศนา ปัญหาความงาม” จัดโดย สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ว่า การที่ร่างกายเกิดได้รับบาดเจ็บอันตราย จนนำไปสู่การซ่อมแซมของผิวหนัง การซ่อมแซมนั้นจะเริ่มตั้งแต่การห้ามเลือดจากบาดแผลไปจนถึงการสร้างคอลลาเจนใหม่ที่แข็งแรงใต้ผิวหนัง และกลายเป็นแผลเป็นที่สมบูรณ์ (mature scar) กินเวลาทั้งสิ้นประมาณ 1 ปี แต่ความแข็งแรงของผิวหนังจะลดลงเหลือเพียง 80% ของแผลเดิมเท่านั้น แผลที่ลึกกว่าชั้นหนังแท้ลงไป ผิวหนังส่วนบนมักจะหายไม่ดีก็มักจะเป็นแผลเป็นที่เห็นได้ แผลบางรายก็จะเกิดเป็นแผลเป็นนูน บางรายก็เกิดเป็นแผลเป็นลึกลงไป ดังนั้น ปัจจัยสำคัญในการหายของบาดแผลว่าจะสมบูรณ์และไม่เป็นแผลเป็นได้หรือไม่ ขึ้นกับความลึกของแผล กรรมพันธุ์และเชื้อชาติ ตำแหน่งของบาดแผล สาเหตุของบาดแผล ปัจจัยจากการเย็บแผล การดูแลรักษาในขณะที่เป็นแผล เป็นต้น
แล้วเมื่อมีรอยแผลเป็นจากสิวเกิดขึ้นจะทำอย่างไรดี พญ.มาริษา กล่าวว่า แผลเป็นที่เกิดจากสิวนั้นเป็นปัญหาที่พบบ่อยในช่วงวัยรุ่นและวัยทำงาน วิธีที่ใช้ในการรักษาและผลของการรักษาขึ้นกับความรุนแรงของแผล ทั้งความลึก และขนาดและวิธีที่ใช้ในการรักษา เช่น การตัดหลุม การขัดผิว และการใช้เลเซอร์ แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีในการรักษาใหม่ๆ จะทำให้ผลข้างเคียงน้อยลงและผลการรักษาที่ดีขึ้น แต่ผลของการรักษาก็ยังมีข้อจำกัด ทำให้การรักษาแผลเป็นอาจต้องใช้การรักษาหลายวิธีร่วมกัน ทำให้ต้องรักษาหลายครั้งและใช้เวลาในการรักษา แผลเป็นที่มีความลึกหรือแผลที่มีการทำลายของรูขุมขนจะไม่สามารถกลับมาเป็นผิวหนังปกติได้ 100% ผู้ป่วยควรมีการปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการเลือกวิธีการรักษาและผลที่จะได้รับ การป้องกันจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุดและทำได้ง่ายๆ คือ เมื่อเป็นสิวอักเสบควรรีบรักษาให้เร็วที่สุด และไม่ควรแกะสิว
นอกจากแผลเป็นสิวแล้ว ยังมีแผลเป็นอีก 2 ชนิดที่มองข้ามไม่ได้นั่นคือ แผลเป็นที่เกิดจากการหกล้ม บาดแผลต่างๆ และแผลเป็นจากการผ่าตัด โดย พญ.มาริษา กล่าวว่า การรักษาแผลเป็นที่เกิดจากการหกล้ม หรือเกิดจากบาดแผลต่างๆ ซึ่งจะทำให้เกิดแผลถลอก เมื่อเกิดแผลถลอกควรได้รับการห้ามเลือดในเบื้องต้น และล้างทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาด หรืออาจใช้สบู่ฟอกเพื่อกำจัดสิ่งสกปรกออกจากบาดแผล และใช้ยาปฏิชีวนะชนิดครีม หรือขี้ผึ้งทาก่อนปิดแผลด้วยพลาสเตอร์เพื่อป้องกันแผลจากสิ่งสกปรกภายนอก เมื่อแผลตกสะเก็ดอาจไม่มีความจำเป็นต้องปิดแผลแต่ควรหลีกเลี่ยงการแกะเกาสะเก็ดแผลเนื่องจากจะทำให้แผลหายช้า
ส่วนการรักษาแผลเป็นที่เกิดจากการผ่าตัดหรือการผ่าตัดจากการตั้งครรภ์ แผลที่เกิดจากการเย็บ พญ.มาริษา กล่าวว่า สามารถป้องกันการเกิดแผลเป็นนูนโดยการใช้แผ่นปิดเพื่อกดทับหรือเจลปิดแผล เช่น ซิลิโคนเจล โดยเริ่มใช้หลังผ่าตัดหรือหลังการตัดไหม ปิดไว้นาน 12-24 ชั่วโมงและปิดไว้ประมาณ 3-6 เดือน แผลเป็นจากการเย็บในช่วง 6เดือนแรกมักพบเป็นแผลนูน แต่แผลนูนตามร่องรอยการเย็บนั้นส่วนใหญ่สามารถหายได้เมื่อแผลมีการซ่อมแซมสมบูรณ์ภายในเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี แผลเป็นนูนในบางรายอาจเป็นชนิดคีลอยด์ ซึ่งมักโตขึ้นหลังการเย็บแผลนานหลายเดือนและมีขนาดหรือการขยายลามออกจากแผลดั้งเดิมมาก
“การรักษาทำได้หลายวิธี การรักษาหลักของแผลเป็นนูน ได้แก่ การฉีดยาเข้าไปในแผล ยาที่ใช้ เช่น สเตียรอยด์ และ ยาต้านการเจริญของพังพืด การรักษาเสริมอื่นจะมีส่วนช่วยให้ผลการรักษาดีขึ้น และทำให้สีหรือพื้นผิวของแผลดีขึ้น เช่น การทายา การทำเลเซอร์ เป็นต้น ส่วนการรักษาโดยการตัดแผลเป็นนั้นอาจเป็นทางเลือกทางหนึ่ง ซึ่งต้องคำนึงถึงโอกาสการกลับเป็นซ้ำของแผลนูน เนื่องจากเป็นการทำให้เกิดแผลเย็บใหม่ จึงอาจต้องให้การรักษาอื่นเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ เช่น การฉายแสง หรือการฉีดยาสเตียรอยด์ และตรวจติดตามอย่างต่อเนื่อง ผลการรักษาขึ้นกับความรุนแรงของรอยโรค ตำแหน่งของรอยโรคและสาเหตุของบาดแผลนั้น” พญ.มาริษา กล่าว
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจก่อนว่ารอยแผลเป็นสิวเกิดขึ้นได้อย่างไร นั่นก็คือ เกิดจากการอักเสบของสิว โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ยิ่งทำการบีบ แกะ เกาสิวก็จะยิ่งทิ้งรอยเอาไว้ มีอยู่ 3 แบบ คือแบบหลุม เกิดจากการทำลายเนื้อเยื่อคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ทำให้เป็นรอยบุ๋ม แบบเป็นเนื้อนูน เกิดจากการทำลายเนื้อเยื่อในชั้นหนังแท้ แต่มีการซ่อมแซมของผิวมากกว่าปกติทำให้เนื้อนูนขึ้น และการเปลี่นแปลงของสี หรือรอยแดง
ทั้งนี้ พญ.มาริษา พงศ์พฤฒิพันธ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนัง รพ.จุฬาลงกรณ์ และคณะอนุกรรมการวิชาการ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวถึงแผลเป็นไว้ในงาน “ไขปริศนา ปัญหาความงาม” จัดโดย สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ว่า การที่ร่างกายเกิดได้รับบาดเจ็บอันตราย จนนำไปสู่การซ่อมแซมของผิวหนัง การซ่อมแซมนั้นจะเริ่มตั้งแต่การห้ามเลือดจากบาดแผลไปจนถึงการสร้างคอลลาเจนใหม่ที่แข็งแรงใต้ผิวหนัง และกลายเป็นแผลเป็นที่สมบูรณ์ (mature scar) กินเวลาทั้งสิ้นประมาณ 1 ปี แต่ความแข็งแรงของผิวหนังจะลดลงเหลือเพียง 80% ของแผลเดิมเท่านั้น แผลที่ลึกกว่าชั้นหนังแท้ลงไป ผิวหนังส่วนบนมักจะหายไม่ดีก็มักจะเป็นแผลเป็นที่เห็นได้ แผลบางรายก็จะเกิดเป็นแผลเป็นนูน บางรายก็เกิดเป็นแผลเป็นลึกลงไป ดังนั้น ปัจจัยสำคัญในการหายของบาดแผลว่าจะสมบูรณ์และไม่เป็นแผลเป็นได้หรือไม่ ขึ้นกับความลึกของแผล กรรมพันธุ์และเชื้อชาติ ตำแหน่งของบาดแผล สาเหตุของบาดแผล ปัจจัยจากการเย็บแผล การดูแลรักษาในขณะที่เป็นแผล เป็นต้น
แล้วเมื่อมีรอยแผลเป็นจากสิวเกิดขึ้นจะทำอย่างไรดี พญ.มาริษา กล่าวว่า แผลเป็นที่เกิดจากสิวนั้นเป็นปัญหาที่พบบ่อยในช่วงวัยรุ่นและวัยทำงาน วิธีที่ใช้ในการรักษาและผลของการรักษาขึ้นกับความรุนแรงของแผล ทั้งความลึก และขนาดและวิธีที่ใช้ในการรักษา เช่น การตัดหลุม การขัดผิว และการใช้เลเซอร์ แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีในการรักษาใหม่ๆ จะทำให้ผลข้างเคียงน้อยลงและผลการรักษาที่ดีขึ้น แต่ผลของการรักษาก็ยังมีข้อจำกัด ทำให้การรักษาแผลเป็นอาจต้องใช้การรักษาหลายวิธีร่วมกัน ทำให้ต้องรักษาหลายครั้งและใช้เวลาในการรักษา แผลเป็นที่มีความลึกหรือแผลที่มีการทำลายของรูขุมขนจะไม่สามารถกลับมาเป็นผิวหนังปกติได้ 100% ผู้ป่วยควรมีการปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการเลือกวิธีการรักษาและผลที่จะได้รับ การป้องกันจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุดและทำได้ง่ายๆ คือ เมื่อเป็นสิวอักเสบควรรีบรักษาให้เร็วที่สุด และไม่ควรแกะสิว
นอกจากแผลเป็นสิวแล้ว ยังมีแผลเป็นอีก 2 ชนิดที่มองข้ามไม่ได้นั่นคือ แผลเป็นที่เกิดจากการหกล้ม บาดแผลต่างๆ และแผลเป็นจากการผ่าตัด โดย พญ.มาริษา กล่าวว่า การรักษาแผลเป็นที่เกิดจากการหกล้ม หรือเกิดจากบาดแผลต่างๆ ซึ่งจะทำให้เกิดแผลถลอก เมื่อเกิดแผลถลอกควรได้รับการห้ามเลือดในเบื้องต้น และล้างทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาด หรืออาจใช้สบู่ฟอกเพื่อกำจัดสิ่งสกปรกออกจากบาดแผล และใช้ยาปฏิชีวนะชนิดครีม หรือขี้ผึ้งทาก่อนปิดแผลด้วยพลาสเตอร์เพื่อป้องกันแผลจากสิ่งสกปรกภายนอก เมื่อแผลตกสะเก็ดอาจไม่มีความจำเป็นต้องปิดแผลแต่ควรหลีกเลี่ยงการแกะเกาสะเก็ดแผลเนื่องจากจะทำให้แผลหายช้า
ส่วนการรักษาแผลเป็นที่เกิดจากการผ่าตัดหรือการผ่าตัดจากการตั้งครรภ์ แผลที่เกิดจากการเย็บ พญ.มาริษา กล่าวว่า สามารถป้องกันการเกิดแผลเป็นนูนโดยการใช้แผ่นปิดเพื่อกดทับหรือเจลปิดแผล เช่น ซิลิโคนเจล โดยเริ่มใช้หลังผ่าตัดหรือหลังการตัดไหม ปิดไว้นาน 12-24 ชั่วโมงและปิดไว้ประมาณ 3-6 เดือน แผลเป็นจากการเย็บในช่วง 6เดือนแรกมักพบเป็นแผลนูน แต่แผลนูนตามร่องรอยการเย็บนั้นส่วนใหญ่สามารถหายได้เมื่อแผลมีการซ่อมแซมสมบูรณ์ภายในเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี แผลเป็นนูนในบางรายอาจเป็นชนิดคีลอยด์ ซึ่งมักโตขึ้นหลังการเย็บแผลนานหลายเดือนและมีขนาดหรือการขยายลามออกจากแผลดั้งเดิมมาก
“การรักษาทำได้หลายวิธี การรักษาหลักของแผลเป็นนูน ได้แก่ การฉีดยาเข้าไปในแผล ยาที่ใช้ เช่น สเตียรอยด์ และ ยาต้านการเจริญของพังพืด การรักษาเสริมอื่นจะมีส่วนช่วยให้ผลการรักษาดีขึ้น และทำให้สีหรือพื้นผิวของแผลดีขึ้น เช่น การทายา การทำเลเซอร์ เป็นต้น ส่วนการรักษาโดยการตัดแผลเป็นนั้นอาจเป็นทางเลือกทางหนึ่ง ซึ่งต้องคำนึงถึงโอกาสการกลับเป็นซ้ำของแผลนูน เนื่องจากเป็นการทำให้เกิดแผลเย็บใหม่ จึงอาจต้องให้การรักษาอื่นเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ เช่น การฉายแสง หรือการฉีดยาสเตียรอยด์ และตรวจติดตามอย่างต่อเนื่อง ผลการรักษาขึ้นกับความรุนแรงของรอยโรค ตำแหน่งของรอยโรคและสาเหตุของบาดแผลนั้น” พญ.มาริษา กล่าว