สธ.เผย 3 เดือนคนป่วยอุจจาระร่วงแล้ว 2.5 แสนราย ตาย 2 ราย เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปี 56 ในช่วงเดียวกัน เกือบครึ่งเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ และสูงกว่า 65 ปี สั่ง สสจ.เฝ้าระวังการผลิตน้ำดื่ม น้ำแข็ง
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า วันที่ 22 มี.ค.ของทุกปี สมัชชาสหประชาชาติประกาศให้เป็นวันแห่งน้ำโลก (World Water Day) ตั้งแต่ปี 2536 เพื่อให้ทั่วโลกระลึกถึงความสำคัญของน้ำ และกระตุ้นให้ประชาชนตื่นตัวในการอนุรักษ์น้ำและพัฒนาแหล่งน้ำให้สะอาดปลอดภัย โดยองค์การอนามัยโลกรายงานว่า ประชากรทั่วโลกป่วยจากโรคอุจจาระร่วง ซึ่งเกิดจากการมีเชื้อโรคปนเปื้อนในอาหารและน้ำดื่มประมาณปีละ 1,700 ล้านราย และยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีทั่วโลก ปีละ 760,000 ราย ซึ่งมากเป็นอันดับ 2 รองจากโรคปอดบวม สำหรับไทย ข้อมูลของสำนักระบาดวิทยาในปี 2557 ตั้งแต่ ม.ค.-มี.ค.ทั่วประเทศมีรายงานผู้ป่วย 253,967 ราย เสียชีวิต 2 ราย เมื่อเทียบกับปี 2556 ในช่วงเดียวกัน พบว่าจำนวนผู้ป่วยในปีนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 ผู้ป่วยเกือบครึ่งเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
นพ.ณรงค์ กล่าวว่า การป้องกันควบคุมโรคอุจจาระร่วง ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทุกแห่ง ควบคุมมาตรฐานโรงงานผลิตน้ำดื่ม รวมทั้งน้ำแข็งให้ได้มาตรฐานจีเอ็มพี มีเครื่องหมาย อย.สุ่มตรวจเฝ้าระวังคลอรีนตกค้างปลายท่อน้ำประปาทุกชนิดให้เป็นไปตามมาตรฐานกรมอนามัยคือ 0.2-0.5มิลลิกรัม/ลิตร โดยเฉพาะในพื้นที่ประสบภัยแล้ง ขาดแคลนน้ำสะอาด เพื่อให้มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้น้ำ และให้เฝ้าระวังโรคอุจจาระร่วงอย่างต่อเนื่อง ให้เข้มข้นพิเศษในช่วงหน้าร้อนนี้ เนื่องจากการบริโภคน้ำและน้ำแข็งสูงกว่าฤดูกาลอื่นๆ
นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ความสะอาดปลอดภัยของน้ำบริโภค เป็นปัจจัยพื้นฐานสาธารณสุขที่สำคัญ หากน้ำไม่ปลอดภัยจะส่งผลต่อสุขภาพทั้งในระยะเฉียบพลัน และระยะยาวจากผลกระทบของสารเคมีที่เป็นอันตราย เช่น ตะกั่ว ปรอท และสะสมร่างกายโดยไม่รู้ตัว โดยปกติคนเราต้องดื่มน้ำให้ได้วันละ 2-2.5 ลิตรต่อคน คาดว่าต่อวันมีการดื่มน้ำประมาณ 130 ล้านลิตร ซึ่งกรมอนามัยได้สำรวจและวิเคราะห์คุณภาพน้ำบริโภคในสถานที่สาธารณะต่างๆ และพื้นที่เข้าถึงได้ยาก ถิ่นทุรกันดาร เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยง และหาทางเลือกที่เหมาะสมกับประชาชนในพื้นที่ อบรมการจัดการน้ำสะอาด พฤติกรรมอนามัย ที่ผ่านมาพบได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน
นพ.พรเทพ กล่าวว่า ผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2552 พบว่า คนไทยมีน้ำดื่มและน้ำใช้มาจากแหล่งน้ำหลัก 4 ประเภท คือ น้ำดื่มบรรจุขวด น้ำฝน น้ำประปา และน้ำจากแหล่งน้ำตามธรรมชาติ เช่น น้ำบ่อ-บาดาล น้ำจากแม่น้ำลำคลอง เป็นต้น โดยน้ำที่ครัวเรือนไทยใช้ดื่มมากที่สุดคือ น้ำฝน ร้อยละ 35 รองลงมาคือ น้ำดื่มบรรจุขวด ร้อยละ 32 และน้ำประปาร้อยละ 24 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่กรมอนามัยทำการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง
ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การป้องกันโรคอุจจาระร่วง ขอให้ประชาชนยึดหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันง่ายๆ ได้แก่ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ รวมทั้งดื่มน้ำที่สะอาด เช่น น้ำดื่มบรรจุขวดที่มีเครื่องหมาย อย.หรือน้ำต้มสุก ดูแลรักษาความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบอาหาร และอุปกรณ์ที่ใช้ในการรับประทานอาหาร รักษาความสะอาดของห้องน้ำห้องส้วม และถ่ายอุจจาระลงส้วม ส่วนในเด็กแรกเกิดขอให้เลี้ยงด้วยนมแม่อย่างเดียวไปจนถึงอายุ 6 เดือน เนื่องจากนมแม่สะอาดปลอดภัย เด็กจะได้รับภูมิต้านทานโรคจากแม่ ทำให้โอกาสป่วยจากโรคนี้น้อยกว่าเด็กที่กินนมผสม
นพ.โสภณ กล่าวว่า สำหรับโรคอุจจาจาระร่วง อาการเจ็บป่วยที่พบ คือถ่ายอุจจาระเหลวเป็นน้ำบ่อยครั้ง หรือถ่ายมีมูกเลือดปน ปวดท้อง อาจมีคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ผลจากการถ่ายเหลวจะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ หากสูญเสียน้ำและเกลือแร่มากจะเกิดอาการกระหายน้ำ กระสับกระส่าย ผิวหนังเหี่ยวเพราะขาดน้ำ และหากร่างกายขาดน้ำรุนแรง อาจถึงขั้นช็อก และเสียชีวิตได้ ในการดูแลผู้ที่เป็นโรคอุจจาระร่วงในเบื้องต้น ควรให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ หรืออาหารเหลวมากๆ เช่น น้ำข้าว น้ำแกงจืด และดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่หรือที่เรียกว่าโอ อาร์ เอส โดยใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่ 1 ซองผสมกับน้ำต้มสุกเย็น 1 แก้ว หากไม่มีผงน้ำตาลเกลือแร่ ให้ใช้น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ กับเกลือป่นครึ่งช้อนชา ละลายกับน้ำต้มสุกเย็น 1 ขวดน้ำปลากลม ในดื่มแทนผงน้ำตาลเกลือแร่ได้เช่นกัน ประการสำคัญหลังผสมแล้ว จะต้องดื่มให้หมดภายใน 1 วัน และถ้าอาการไม่ดีขึ้น ยังไม่หยุดถ่ายเหลว ให้รีบไปพบแพทย์
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า วันที่ 22 มี.ค.ของทุกปี สมัชชาสหประชาชาติประกาศให้เป็นวันแห่งน้ำโลก (World Water Day) ตั้งแต่ปี 2536 เพื่อให้ทั่วโลกระลึกถึงความสำคัญของน้ำ และกระตุ้นให้ประชาชนตื่นตัวในการอนุรักษ์น้ำและพัฒนาแหล่งน้ำให้สะอาดปลอดภัย โดยองค์การอนามัยโลกรายงานว่า ประชากรทั่วโลกป่วยจากโรคอุจจาระร่วง ซึ่งเกิดจากการมีเชื้อโรคปนเปื้อนในอาหารและน้ำดื่มประมาณปีละ 1,700 ล้านราย และยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีทั่วโลก ปีละ 760,000 ราย ซึ่งมากเป็นอันดับ 2 รองจากโรคปอดบวม สำหรับไทย ข้อมูลของสำนักระบาดวิทยาในปี 2557 ตั้งแต่ ม.ค.-มี.ค.ทั่วประเทศมีรายงานผู้ป่วย 253,967 ราย เสียชีวิต 2 ราย เมื่อเทียบกับปี 2556 ในช่วงเดียวกัน พบว่าจำนวนผู้ป่วยในปีนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 ผู้ป่วยเกือบครึ่งเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
นพ.ณรงค์ กล่าวว่า การป้องกันควบคุมโรคอุจจาระร่วง ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทุกแห่ง ควบคุมมาตรฐานโรงงานผลิตน้ำดื่ม รวมทั้งน้ำแข็งให้ได้มาตรฐานจีเอ็มพี มีเครื่องหมาย อย.สุ่มตรวจเฝ้าระวังคลอรีนตกค้างปลายท่อน้ำประปาทุกชนิดให้เป็นไปตามมาตรฐานกรมอนามัยคือ 0.2-0.5มิลลิกรัม/ลิตร โดยเฉพาะในพื้นที่ประสบภัยแล้ง ขาดแคลนน้ำสะอาด เพื่อให้มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้น้ำ และให้เฝ้าระวังโรคอุจจาระร่วงอย่างต่อเนื่อง ให้เข้มข้นพิเศษในช่วงหน้าร้อนนี้ เนื่องจากการบริโภคน้ำและน้ำแข็งสูงกว่าฤดูกาลอื่นๆ
นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ความสะอาดปลอดภัยของน้ำบริโภค เป็นปัจจัยพื้นฐานสาธารณสุขที่สำคัญ หากน้ำไม่ปลอดภัยจะส่งผลต่อสุขภาพทั้งในระยะเฉียบพลัน และระยะยาวจากผลกระทบของสารเคมีที่เป็นอันตราย เช่น ตะกั่ว ปรอท และสะสมร่างกายโดยไม่รู้ตัว โดยปกติคนเราต้องดื่มน้ำให้ได้วันละ 2-2.5 ลิตรต่อคน คาดว่าต่อวันมีการดื่มน้ำประมาณ 130 ล้านลิตร ซึ่งกรมอนามัยได้สำรวจและวิเคราะห์คุณภาพน้ำบริโภคในสถานที่สาธารณะต่างๆ และพื้นที่เข้าถึงได้ยาก ถิ่นทุรกันดาร เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยง และหาทางเลือกที่เหมาะสมกับประชาชนในพื้นที่ อบรมการจัดการน้ำสะอาด พฤติกรรมอนามัย ที่ผ่านมาพบได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน
นพ.พรเทพ กล่าวว่า ผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2552 พบว่า คนไทยมีน้ำดื่มและน้ำใช้มาจากแหล่งน้ำหลัก 4 ประเภท คือ น้ำดื่มบรรจุขวด น้ำฝน น้ำประปา และน้ำจากแหล่งน้ำตามธรรมชาติ เช่น น้ำบ่อ-บาดาล น้ำจากแม่น้ำลำคลอง เป็นต้น โดยน้ำที่ครัวเรือนไทยใช้ดื่มมากที่สุดคือ น้ำฝน ร้อยละ 35 รองลงมาคือ น้ำดื่มบรรจุขวด ร้อยละ 32 และน้ำประปาร้อยละ 24 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่กรมอนามัยทำการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง
ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การป้องกันโรคอุจจาระร่วง ขอให้ประชาชนยึดหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันง่ายๆ ได้แก่ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ รวมทั้งดื่มน้ำที่สะอาด เช่น น้ำดื่มบรรจุขวดที่มีเครื่องหมาย อย.หรือน้ำต้มสุก ดูแลรักษาความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบอาหาร และอุปกรณ์ที่ใช้ในการรับประทานอาหาร รักษาความสะอาดของห้องน้ำห้องส้วม และถ่ายอุจจาระลงส้วม ส่วนในเด็กแรกเกิดขอให้เลี้ยงด้วยนมแม่อย่างเดียวไปจนถึงอายุ 6 เดือน เนื่องจากนมแม่สะอาดปลอดภัย เด็กจะได้รับภูมิต้านทานโรคจากแม่ ทำให้โอกาสป่วยจากโรคนี้น้อยกว่าเด็กที่กินนมผสม
นพ.โสภณ กล่าวว่า สำหรับโรคอุจจาจาระร่วง อาการเจ็บป่วยที่พบ คือถ่ายอุจจาระเหลวเป็นน้ำบ่อยครั้ง หรือถ่ายมีมูกเลือดปน ปวดท้อง อาจมีคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ผลจากการถ่ายเหลวจะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ หากสูญเสียน้ำและเกลือแร่มากจะเกิดอาการกระหายน้ำ กระสับกระส่าย ผิวหนังเหี่ยวเพราะขาดน้ำ และหากร่างกายขาดน้ำรุนแรง อาจถึงขั้นช็อก และเสียชีวิตได้ ในการดูแลผู้ที่เป็นโรคอุจจาระร่วงในเบื้องต้น ควรให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ หรืออาหารเหลวมากๆ เช่น น้ำข้าว น้ำแกงจืด และดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่หรือที่เรียกว่าโอ อาร์ เอส โดยใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่ 1 ซองผสมกับน้ำต้มสุกเย็น 1 แก้ว หากไม่มีผงน้ำตาลเกลือแร่ ให้ใช้น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ กับเกลือป่นครึ่งช้อนชา ละลายกับน้ำต้มสุกเย็น 1 ขวดน้ำปลากลม ในดื่มแทนผงน้ำตาลเกลือแร่ได้เช่นกัน ประการสำคัญหลังผสมแล้ว จะต้องดื่มให้หมดภายใน 1 วัน และถ้าอาการไม่ดีขึ้น ยังไม่หยุดถ่ายเหลว ให้รีบไปพบแพทย์