โพลชี้โจ๋ไทยจุดเดือดต่ำ เลิกเป็นเพื่อนเลิกติดตามในโลกออนไลน์แค่ปลายนิ้ว พบเหตุสำคัญคือทะเลาะกัน เขียนข้อความไร้สาระ คิดต่างการเมือง เขียนข้อความหยาบคาย ขัดแย้งเรื่องเรียน เผย 48.27% ระบุเลิกคบไปเลย ไม่คิดติดต่อผ่านช่องทางอื่นๆ
สำนักวิจัยสยามเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตโพลล์ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม ระดับอุดมศึกษา เปิดเผยผลวิจัย “พฤติกรรมการรับเพื่อนและบอกเลิกเพื่อนบนสังคมออนไลน์ของเยาวชนไทย” จำนวน 1,114 คน ระหว่างวันที่ 22-28 ก.พ. พบว่า พฤติกรรมการรับ-ส่งคำขอเป็นเพื่อนบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ ส่วนใหญ่ร้อยละ 42.73 นิยมรับและส่งคำขอในปริมาณพอๆ กัน สำหรับบุคคลที่กลุ่มตัวอย่างนิยมส่งคำขอเป็นเพื่อนบนเครือข่ายสังคมออนไลน์สูงสุด 3 อันดับ คือ เพื่อนสนิท/แฟน/คนรัก ร้อยละ 83.75 เพื่อนร่วมชั้น/ร่วมงาน ร้อยละ 80.97 และบุคคลในครอบครัว/ญาติพี่น้อง ร้อยละ 78.01 ส่วนบุคคลที่กลุ่มตัวอย่างนิยมรับคำขอเป็นเพื่อนบนเครือข่ายสังคมออนไลน์สูงสุด 3 อันดับ คือ เพื่อนร่วมชั้น/ร่วมงาน ร้อยละ 84.29 เพื่อนสนิท/แฟน/คนรัก ร้อยละ 81.69 และบุคคลในครอบครัว/ญาติพี่น้อง ร้อยละ 79.17 นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ระบุว่า จากจำนวนบุคคลที่มีสถานะเป็นเพื่อนบนเครือข่ายสังคมออนไลน์มีจำนวนเพื่อนที่รู้จักกันมาก่อนประมาณครึ่งหนึ่งแต่ไม่ถึง 3 ใน 4 คือร้อยละ 37.88 ขณะที่ร้อยละ 23.79 ระบุว่ามีบุคคลที่รู้จักกันมาก่อนน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง
ด้านพฤติกรรมการยกเลิกการเป็นเพื่อน/การติดตาม (unfriend/unfollow) ร้อยละ 56.28 ยอมรับว่าตนเองเคยยกเลิกการเป็นเพื่อน/การติดตามเป็นบางครั้ง ขณะที่ร้อยละ 35.55 ยอมรับว่าเคยยกเลิกเป็นประจำ และจากจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่เคยยกเลิกการเป็นเพื่อนนั้น ร้อยละ 73.51 ยอมรับว่าเคยยกเลิกการเป็นเพื่อน/การติดตามกับบุคคลบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ซึ่งรู้จักกันเป็นการส่วน สาเหตุสำคัญสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งผิดใจกัน ร้อยละ 83.58 บุคคลผู้นั้นเขียนข้อความไร้สาระไม่เป็นประโยชน์อยู่เป็นประจำ ร้อยละ 80.94 มีความคิดเห็นทางด้านสังคม การเมือง ศาสนา ไม่ตรงกัน ร้อยละ 78.3 เขียนข้อความหยาบคาย/ไม่สุภาพ ร้อยละ 75.95 และมีความขัดแย้งกันในเรื่องการเรียน/การทำงาน ร้อยละ 73.7
สำหรับพฤติกรรมการติดต่อกับบุคคลที่ถูกยกเลิกการเป็นเพื่อน/การติดตาม ซึ่งรู้จักเป็นการส่วนตัว ร้อยละ 41.89 ระบุว่าติดต่อผ่านช่องทางอื่นๆ เช่น อีเมล โทรศัพท์น้อยลงเป็นบางคน ร้อยละ 24.47 ยอมรับว่าติดต่อผ่านช่องทางอื่นๆ น้อยลง และร้อยละ 33.64 ยังคงติดต่อผ่านช่องทางอื่นๆ เป็นปกติ นอกจากนี้ ร้อยละ 48.27 ระบุว่าตนเองไม่เลิกคบ/ติดต่อกับบุคคลที่ถูกยกเลิกการเป็นเพื่อน/การติดตาม ขณะที่ร้อยละ 35.51 ระบุว่าตนเองตั้งใจเลิกคบ/เลิกติดต่อไปเลยเป็นบางคน
สำนักวิจัยสยามเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตโพลล์ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม ระดับอุดมศึกษา เปิดเผยผลวิจัย “พฤติกรรมการรับเพื่อนและบอกเลิกเพื่อนบนสังคมออนไลน์ของเยาวชนไทย” จำนวน 1,114 คน ระหว่างวันที่ 22-28 ก.พ. พบว่า พฤติกรรมการรับ-ส่งคำขอเป็นเพื่อนบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ ส่วนใหญ่ร้อยละ 42.73 นิยมรับและส่งคำขอในปริมาณพอๆ กัน สำหรับบุคคลที่กลุ่มตัวอย่างนิยมส่งคำขอเป็นเพื่อนบนเครือข่ายสังคมออนไลน์สูงสุด 3 อันดับ คือ เพื่อนสนิท/แฟน/คนรัก ร้อยละ 83.75 เพื่อนร่วมชั้น/ร่วมงาน ร้อยละ 80.97 และบุคคลในครอบครัว/ญาติพี่น้อง ร้อยละ 78.01 ส่วนบุคคลที่กลุ่มตัวอย่างนิยมรับคำขอเป็นเพื่อนบนเครือข่ายสังคมออนไลน์สูงสุด 3 อันดับ คือ เพื่อนร่วมชั้น/ร่วมงาน ร้อยละ 84.29 เพื่อนสนิท/แฟน/คนรัก ร้อยละ 81.69 และบุคคลในครอบครัว/ญาติพี่น้อง ร้อยละ 79.17 นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ระบุว่า จากจำนวนบุคคลที่มีสถานะเป็นเพื่อนบนเครือข่ายสังคมออนไลน์มีจำนวนเพื่อนที่รู้จักกันมาก่อนประมาณครึ่งหนึ่งแต่ไม่ถึง 3 ใน 4 คือร้อยละ 37.88 ขณะที่ร้อยละ 23.79 ระบุว่ามีบุคคลที่รู้จักกันมาก่อนน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง
ด้านพฤติกรรมการยกเลิกการเป็นเพื่อน/การติดตาม (unfriend/unfollow) ร้อยละ 56.28 ยอมรับว่าตนเองเคยยกเลิกการเป็นเพื่อน/การติดตามเป็นบางครั้ง ขณะที่ร้อยละ 35.55 ยอมรับว่าเคยยกเลิกเป็นประจำ และจากจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่เคยยกเลิกการเป็นเพื่อนนั้น ร้อยละ 73.51 ยอมรับว่าเคยยกเลิกการเป็นเพื่อน/การติดตามกับบุคคลบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ซึ่งรู้จักกันเป็นการส่วน สาเหตุสำคัญสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งผิดใจกัน ร้อยละ 83.58 บุคคลผู้นั้นเขียนข้อความไร้สาระไม่เป็นประโยชน์อยู่เป็นประจำ ร้อยละ 80.94 มีความคิดเห็นทางด้านสังคม การเมือง ศาสนา ไม่ตรงกัน ร้อยละ 78.3 เขียนข้อความหยาบคาย/ไม่สุภาพ ร้อยละ 75.95 และมีความขัดแย้งกันในเรื่องการเรียน/การทำงาน ร้อยละ 73.7
สำหรับพฤติกรรมการติดต่อกับบุคคลที่ถูกยกเลิกการเป็นเพื่อน/การติดตาม ซึ่งรู้จักเป็นการส่วนตัว ร้อยละ 41.89 ระบุว่าติดต่อผ่านช่องทางอื่นๆ เช่น อีเมล โทรศัพท์น้อยลงเป็นบางคน ร้อยละ 24.47 ยอมรับว่าติดต่อผ่านช่องทางอื่นๆ น้อยลง และร้อยละ 33.64 ยังคงติดต่อผ่านช่องทางอื่นๆ เป็นปกติ นอกจากนี้ ร้อยละ 48.27 ระบุว่าตนเองไม่เลิกคบ/ติดต่อกับบุคคลที่ถูกยกเลิกการเป็นเพื่อน/การติดตาม ขณะที่ร้อยละ 35.51 ระบุว่าตนเองตั้งใจเลิกคบ/เลิกติดต่อไปเลยเป็นบางคน
