ในปัจจุบันโรคภูมิแพ้เป็นโรคที่คนไทยเป็นกันมาก เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศเมืองร้อน มีประชากรหนาแน่น จึงทำให้มีมลพิษต่างๆ มากมาย ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ได้ง่ายโดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจ
โรคภูมิแพ้คืออาการผิดปกติของภูมิคุ้มกันที่มีภาวะของภูมิที่ไวเกินไป เพราะปกติแล้วระบบภูมิคุ้มกันมีหน้าที่จดจำสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย แต่ร่างกายของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้จะมีปฏิกิริยาที่ไวเกินไปต่อสิ่งที่มีอยู่ทั่วไปทั้งในธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดการกระตุ้นและเกิดการอักเสบ ซึ่งมีระดับความแตกต่างกันตั้งแต่เคืองตาจนถึงขนาดเสียชีวิตได้
โรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยๆได้แก่ เยื่อบุจมูกอักเสบ ระคายเคือง ตาแดง น้ำมูกไหล ไอ จาม ลมพิษและหอบหืด เป็นต้น
สารที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยๆ ได้แก่
1. เกสรดอกไม้ จากต้นไม้ ต้นหญ้า หรือวัชพืชต่างๆ อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ อาการที่ปรากฏคือ จาม น้ำมูกไหล การอักเสบของเยื่อบุจมูก ผื่นคัน น้ำตาไหล การรักษาอาจทำได้โดยการทานยา ทายา หรือฉีดยา ตามการวินิจฉัยของแพทย์ การป้องกันทำได้โดยหลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอกในวันที่มีลมแรงหรือในที่ที่มีเกสรดอกไม้แพร่กระจาย ปิดหน้าต่าง และใช้วิธีเปิดแอร์อาจช่วยได้
2. รังแคของสัตว์ โปรตีนที่เกิดจากต่อมไขมันในผิวหนังของสัตว์ที่อยู่ในน้ำลายของสัตว์ ขนและติดตามผิวหนังของสัตว์อาจทำให้เกิดภูมิแพ้ในบางคนได้ การสะสมของสารเหล่านี้เป็นเวลานาน ตั้งแต่ 1 ปี หรือมากกว่าจะทำให้เกิดอาการได้ อาการอาจหายไปเมื่อเราไม่ยุ่งเกี่ยวกับสัตว์เหล่านั้น หากเราเป็นโรคภูมิแพ้สัตว์ให้เราจัดที่นอนให้สะอาดไม่ให้มีสัตว์ขึ้นมานอนด้วย หลีกเลี่ยงการใช้พรม ชำระล้างบ้านให้สะอาดมีสุขลักษณะที่ดีอยู่เสมอ ล้างเครื่องกรองอากาศจะช่วยได้บ้าง หรือใช้วิธีฉีดยาแก้โรคภูมิแพ้
3. ไรฝุ่นซึ่งมีขนาดเล็กมาก มักชอบอาศัยอยู่ในที่นอน หรือที่ต่างๆ ที่มีฝุ่นในบ้าน ที่ที่มีอากาศชื้นแฉะหรือชอบกินผิวหนังที่หลุดของคนและสัตว์ เช่นเดียวกับเกสรดอกไม้ แบคทีเรีย และเชื้อรา วิธีป้องกันคือเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน หรือใช้หมอนกันไรฝุ่น ดูดฝุ่น เป็นประจำ ทำความสะอาดผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนเป็นประจำทุกสัปดาห์ด้วยน้ำร้อน ทำความสะอาดที่ที่มีฝุ่น ที่อยู่ของสัตว์เลี้ยงในบ้าน ผ้าม่าน และพรม
4. แมลงต่อย คนที่แมลงกัดหรือต่อย อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต มักมีอาการ บวม แดงในบริเวณถูกกัด ต้องใช้เวลารักษาเป็นสัปดาห์หรือมากกว่า คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ และมีไข้ต่ำๆ ในบางรายมีอาการหายใจไม่ออก เกิดอาการบวมแดงบริเวณใบหน้า ลำคอและปาก คันเป็นลมพิษ เวียนศีรษะ หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้
5. เชื้อรา ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ด้วย เป็นผื่นคัน หรือเป็นสารพิษที่เกิดการสะสม หายใจไม่ออก สปอร์ของเชื้อรา อาจทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ในบางคน เชื้อรามีหลายชนิด และมักเจริญเติบโตในพื้นที่ชื้นแฉะ ใต้ถุนในห้องน้ำ ใต้เตียง หรือพื้นที่หญ้าเกิดชื้นแฉะ วิธีรักษาคือหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงดังกล่าว บริเวณหญ้าเจ้าชู้ ระบายอากาศในพื้นที่บริเวณเปียกชื้น ดังกล่าว
6. อาหาร เช่น นม อาหารทะเล ปลาบางชนิด ไข่และถั่ว อาจเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ มักมีอาการเกือบจะทันทีหลังจากรับประทาน บางรายมีอาการหายใจไม่ออก อาเจียน ท้องเสีย บวมบริเวณใบหน้า อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากพบว่าเราแพ้อาหารพวกนี้มากๆ จำเป็นต้องฉีดยาป้องกันตามคำแนะนำแพทย์
7. ยางจากถุงมือ ถุงยางอนามัย หรือยาบางประเภท อาการคือเป็นผื่นแพ้ที่ผิวหนัง คันบริเวณหน้าและตา น้ำมูกไหล จาม หายใจลำบาก อักเสบบริเวณโพรงจมูก อาการอาจแตกต่างกันไปตั้งแต่ผื่นแดง อาการคันถึงคันมาก ในบางรายอาจมีอาการหายใจไม่ออก วิธีแก้อาจต้องติดป้ายไว้ที่ข้อมือในกรณีไปโรงพยาบาล
8. แพ้ยา เช่น แพ้ยา เช่นเพนิซิลลิน หรือ แอสไพริน อาการอาจมีตั้งแต่น้อยจนถึงขั้นเสียชีวิต อาจมีอาการเป็นลมพิษ คันตา บวมบริเวณใบหน้า ปาก ลำคอ วิธีป้องกันคือหลีกเลี่ยงยาดังกล่าว ในกรณีที่มีอาการไม่มาก แพทย์อาจใช้ยาแก้แพ้ แอนทิสฮิสทามีนหรือสเทอร์รอยในกรณีร้ายแรงอาจต้องฉีดยา
9. เครื่องสำอาง ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น น้ำหอม เทียนหอม น้ำยาปรับผ้านุ่ม เครื่องสำอางต่างๆ มักมีอาการตั้งแต่น้อยถึงเป็นปัญหาสุขภาพอย่างมาก บางรายเมื่อเลิกใช้ อาการจะหายไปเอง
10. แมลงสาบ ตามเส้นทางเดินของแมลงสาบ ที่มีผิวของแมลงสาบตกอยู่ คงเป็นการยากที่จะทำร้ายแมลงสาบให้หมดไปจากบ้าน โดยเฉพาะเมืองไทย ดังนั้นการใช้กับดักแมลงสาบ หรือการทำความสะอาดห้องครัว ปิดบริเวณท่อระบายน้ำที่แมลงสาบสามารถขึ้นมาได้ ปิดรูหรือช่องโหว่ต่างๆ ปิดประตู หน้าต่างอยู่เสมอจะช่วยได้
โรคภูมิแพ้สามารถหายได้ หากร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง ทานผักผลไม้อย่างเพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปัจจุบันมีการทดสอบสารต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ ตามโรงพยาบาลต่างๆ หากเราทราบว่าเราแพ้อะไร ก็สามารถหาทางแก้ไขได้ทันท่วงที เพราะการมีสุขภาพแข็งแรงเป็นสิ่งที่เงินทองซื้อหาไม่ได้ และเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ดังนั้นเราตัองรักษาสุขภาพกันนะคะ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวเสมอค่ะ
ข้อมูลอ้างอิง
Webmd.com
